Wednesday, 31 May 2023
NEWSFEED

ทหารประตูผา ลดไฟป่า

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ร.อ.พิภพ วงค์ษา รองผู้บังคับกองร้อยฝึกรบพิเศษที่ 3 รักษาราชการแทน ผู้บังคับกองร้อยฝึกรบพิเศษที่ 3 ค่ายประตูผา จังหวัดลำปาง มอบหมายให้ชุดทำงานด้านประชาสัมพันธ์ของหน่วย, จิตอาสาพระราชทาน และชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนมณฑลทหารบกที่ 32 ประจำอำเภอ ชุดที่ 5 ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันในภาคเหนือกับค่า PM 2.5 ณ ศาลเจ้าพ่อประตูผา และ บ้านขุนแม่หวด อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง

.

ภาวินันท์ บุตรหล้า รายงาน

.

#นอร์ทไทม์

กลุ่มรักษ์เชียงของและประชาชนเชียงของจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการที่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 เขต

ภายหลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงราย (กกต.เชียงราย) ได้ประกาศรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงรายแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ปี พ.ศ. 2566 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2566 โดยแบ่งเขตเลือกตั้งเป็น 7 เขต

 

โดย กกต.ได้จัดทำรูปแบบการแบ่งเขตเป็น 3 รูปแบบ และออกประกาศรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและพรรมการเมืองในพื้นที่ แต่ปรากฏว่าทั้ง 3 รูปแบบ พื้นที่อำเภอเชียงของได้ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนเพื่อไปรวมกับเขตอำเภออื่น ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเสียงคัดค้านอย่างกว้างขวาง

 

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ และภาคประชาสังคมเชียงของ กล่าวว่า จากการพิจารณาแล้วพบว่าทั้ง 3 รูปแบบที่ทาง กกต.เชียงรายประกาศนั้น พื้นที่อำเภอเชียงของถูกแบ่งเป็น 2 เขตเลือกตั้ง ทางกลุ่มรักษ์เชียงของและประชาชนเชียงของจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการที่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 เขต ด้วยเหตุผล

 

1. การแบ่งเขตเลือกตั้งนั้นมีนัยะสำคัญเกี่ยวพันกับการกำหนดการพัฒนาอำเภอเชียงของในอนาคต หากการแบ่งเขตครั้งนี้เมืองเชียงของถูกแยกพื้นที่เลือกตั้งในขณะที่เชียงของเป็นเมืองหน้าด่านด้านคมนาคมขนส่งเชื่อมต่อเส้นทาง R3A ที่เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ภูมิภาค และเมืองที่จะต้องพัฒนาในรูปแบบความเป็นวัฒนธรรมวิถีที่มีแนวทางเป็นของตัวเอง ที่มีความเป็นมาแต่อดีตแล้วแต่กลับถูกแบ่งออกไปจึงมีคำถามว่าผู้แทนทั้ง 2 คน จะดูแลและปฏิบัติไปในแนวทางใดกับอำเภอเชียงของในด้านการพัฒนา ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของกล่าวว่า

 

2. เป็นการเสียโอกาสของคนในพื้นที่ที่จะมีตัวแทนที่เข้าใจความเป็นท้องถิ่นอย่างชัดเจนในความเป็นเมืองหน้าด่าน การแบ่งเชียงของเป็น 2 เขตเหมือนเป็นการตัดตอนเมื่อมีการแบ่งเขตออกไป คนเชียงของจึงต้องการรับทราบเหตุผลในการแบ่งเชียงของที่เป็นเมืองที่มีหน่วยงานองค์กรที่เกี่ยวข้องที่ดำเนินการดูแลครอบคลุมพื้นที่อย่างเป็นระบบ เมืองเชียงของนั้นสำคัญที่จะต้องมีความเป็นหนึ่งที่จะพัฒนาไปในทางเดียวกัน จึงไม่ควรแยกเชียงของเป็น 2 เขต

 

“การแบ่งเขตลักษณะนี้เป็นเรื่องประโยชน์ใดในทางการเมืองหรือไม่นั้น ผมไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่หากมองในฐานะประชาชนคนท้องถิ่นเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ดังนั้นทางกลุ่มรักษ์เชียงของ พวกเราได้รับฟังเสียงประชาชนได้พื้นที่ และเตรียมส่งหนังสือเพื่อเสนอแนะ และยืนยันจุดยืนในฐานะคนเชียงของ ให้ กกต.ทบทวนการแบ่งเขตเลือกตั้งครั้งนี้ใหม่ที่ควรจะมีรูปแบบไม่แบ่งเชียงของเป็น 2 เขตเลือกตั้ง” นายนิวัฒน์ กล่าว

 

ขณะที่นายปรพล พูตระกูล ผอ.กกต.เชียงราย กล่าวว่า กต.เชียงราย พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน องค์กร และพรรคการเมืองในพื้นที่หากมีข้อเสนอและข้อแนะนำสามารถเขียนในแบบฟอร์มรับฟังความคิดเห็นให้เลือกรูปแบบที่เหมาะสมจากที่ กกต.เชียงรายเสนอ ส่วนการแบ่งเขตนั้นแบ่งตามหลักการเงื่อนไขจำนวนประชากร และจะต้องมีอำเภอที่มีถูกแบ่งเป็น 2 เขต ภายใต้ข้อจำกัด

 

อย่างไรก็ตามหากมีองค์กร หรือประชาชนมีความเห็นในการแบ่งรูปแบบที่แตกต่างสามารถเสนอความเห็นมาได้ภายในเวลาที่กำหนดคือ 13 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการตั้งข้อสังเกตจากหลายภาคส่วนทั้งตัวแทนผู้สมัครที่เห็นว่า มีความไม่เหมาะสมในเรื่องภูมิประเทศและพื้นที่ในการเดินทางดูแล#นอร์ทไทม์ ละเชียงของเป็นเมืองหน้าด่าน และเป็นเมืองหลักจึงไม่ควรถูกแบ่ง เมื่อเทียบกับการแบ่งเขตในการเลือกตั้ง ส.ส.ในปี 2562 นั้น เชียงของอยู่ในเขต 5 ยกอำเภอ

 

แต่การแบ่งเขตในครั้งนี้ถูกแบ่งเป็นเขต 5 และเขต 7 จะมีรูปแบบเปลี่ยนไป ในการแบ่งเขตครั้งนี้ เชียงของจะถูกแบ่งไปรวมกับ แม่สายและเชียงแสน ที่เป็นเมืองยุทธศาสตร์ 3 เมืองชายขอบเขตเศรษฐกิจพิเศษ จากเดิมที่แบ่งตามภูมิประเทศที่มีความสะดวกในการเดินทาง

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเลือกตั้งในอดีตพื้นที่อำเภอเชียงของไม่เคยถูกแบ่งเขตไปไว้ที่อื่น ขณะนี้เริ่มมีความเคลื่อนไหวในกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้านและผู้นำชุมชนที่ไม่เห็นด้วยกับการแบ่งพื้นที่เชียงของ และได้เตรียมร่วมกันลงชื่อเพื่อนำเสนอต่อ กกต. โดยเฉพาะ ต.ห้วยซ้อ ต.บุญเรือง และ ต.ครึ่ง ที่มีการเคลื่อนไหวกันอย่างกว้างขวาง

 

รางวัล Partner of the Year 2022

เมื่อไม่นานมานี้ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) รับรางวัล Microsoft Partner of the Year 2022 จากนายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ในโอกาสที่บริษัท เมฆา วี จำกัด (Mekha V) ซึ่งเป็น Flagship ด้าน AI, Robotics & Digitalization ของกลุ่ม ปตท. ได้รับรางวัลสาขา ‘Intelligent Cloud กลุ่มธุรกิจภาครัฐ ภาคการศึกษา และสาธารณสุข’ สะท้อนความสำเร็จในการพัฒนาและเติมเต็มระบบนิเวศการใช้คลาวด์ (Cloud Ecosystem) ของกลุ่ม ปตท.

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านดิจิทัล และสร้างโอกาสการเติบโตไปยังธุรกิจที่ไกลกว่าการใช้เทคโนโลยีคลาวด์ ควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมที่หลากหลายบนดิจิทัลแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ ๆ ตามทิศทางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ของ ปตท.

รางวัล Partner of the Year 2022 เป็นรางวัลที่มอบให้พันธมิตรที่นำเทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ไปสรรสร้างนวัตกรรม และพัฒนา Solution สำหรับการดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีใหม่ให้กับองค์กร สู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ออกเดินสายหาเสียงสนับสนุนผู้สมัครของพรรคก้าวไกลอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 8 มี.ค. 2566 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ออกเดินสายหาเสียงสนับสนุนผู้สมัครของพรรคก้าวไกลอย่างต่อเนื่อง

 

โดยวันนี้ ได้ร่วมเปิดเวทีรับฟังปัญหาจากประชาชน ที่บ้านสบเมย ต.ทาขุมเงิน อ.แม่ทา จ.ลำพูน ร่วมกับนายมานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และผู้สมัคร ส.ส.ลำพูน พรรคก้าวไกล ทั้ง 2 คน คือ นายวิทวิสิทธิ์ ปันสวนปลูก และ นายชัชพีร์ วรรณาพิรัชย์

 

นายธนาธร กล่าวว่า ต.ทาขุนเงิน เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีประเด็นปัญหาการใช้ที่ดิน ส.ป.ก. ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ตนเห็นว่าพรรคก้าวไกลได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ เช่นเดียวกับประเด็นข้อพิพาทที่ดินอื่นๆ

 

เพราะปัญหาที่ดิน เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนนับล้าน และนั่นทำให้พรรคอนาคตใหม่มาจนถึงพรรคก้าวไกล มุ่งมีบทบาทในคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาตลอด

 

นายธนาธร กล่าวว่า จากที่ติดตามการทำงาน เห็นว่าพรรคก้าวไกลได้ไปรับฟังประชาชนผู้ได้รับผลกระทบมาตลอด 4 ปีในหลายพื้นที่ ทำให้พรรคก้าวไกลวันนี้ ได้ข้อสรุปการแก้ไขปัญหาเป็นชุดร่างกฎหมายปฏิรูปที่ดิน ตามที่มีการเผยแพร่ก่อนหน้านี้

 

รวมถึงร่างกฎหมายเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด อันเป็นผลมาจากการตกผลึกร่วมกันว่าทางแก้ปัญหาไม่ใช่การออก ส.ป.ก. เพิ่ม แต่คือการทำให้ ส.ป.ก. เป็นโฉนด แก่ประชาชนที่ควรต้องได้รับสิทธินั้น ในกรณีที่ตามเอกสารยังเป็นชื่อผู้ใช้ประโยชน์เดิมหรือทายาทที่ได้รับสิทธิโดยชอบธรรม และจำกัดไม่ให้เปลี่ยนเกิน 50 ไร่ต่อเจ้าของสิทธิ เพื่อไม่ให้นายทุนฉวยโอกาส

 

นายธนาธร กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ทั้งพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ได้รับบทเรียนมาจากการทำงานตลอด 4 ปี คือนโยบายต่างๆ ที่ต้องการผลักดันผ่านสภา หากไม่ผลักดันตั้งแต่ปีแรก ก็มีโอกาสยากมากที่จะผ่าน เพราะวาระการประชุมของสภามีหลายเรื่อง เต็มไปด้วยการยื่นเข้ามาแทรกคิวที่วางลำดับไว้

 

ตนทราบจาก ส.ส. พรรคก้าวไกลว่า ในการเลือกตั้งรอบนี้ พรรคได้เตรียมร่างกฎหมายสำหรับนโยบายของพรรคที่ต้องการผลักดันไว้แล้วราว 40 ฉบับ หลังเปิดประชุมสภา พรรคพร้อมยื่นร่างกฎหมายทั้งหมดเข้าสภาทันที เพื่อให้ทันพิจารณาภายในวาระ 4 ปีของสภา ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

 

โดยมีร่างกฎหมายทั้งเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน การปฏิรูปกองทัพ เอาทหารออกจากการเมือง ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การทำน้ำประปาดื่มได้ในระดับประเทศ การปลดล็อกท้องถิ่น การปฏิรูประบบราชการ เป็นต้น

 

นายธนาธร เห็นว่ากฎหมายแต่ละฉบับจะผ่านหรือไม่ผ่านนั้น ขึ้นอยู่กับเสียงสนับสนุนในสภา ว่าจะมีถึง 251 เสียงเป็นอย่างน้อยหรือไม่ ซึ่ง 4 ปีที่ผ่านมา จากอนาคตใหม่จนถึงก้าวไกล เรายึดมั่นในความเชื่อหนึ่งมาตลอดว่า ประเทศไทยที่ดีกว่านี้เป็นไปได้ และการลงทุนที่ถูกที่สุดคือ การหย่อนบัตรเลือกตั้ง เป็นการลงทุนที่คุ้มที่สุดในการกำหนดอนาคตของประเทศ ถ้าอยากเห็นประเทศไทยในอนาคตแบบเดียวกับที่เราอยากสร้าง ขอให้ใช้สิทธิเสรีภาพให้เป็นประโยชน์ ร่วมสร้างประเทศไทยที่ดีกว่านี้ไปด้วยกัน

 

ปตท. ติดอันดับมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด และเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดอันดับที่ 24 ของโลก

 

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท. ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งใน 500 แบรนด์แรกของโลกที่มีมูลค่าสูงสุดกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดอันดับที่ 24 ของโลก จากการประเมินของ Brand Finance Global บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการประเมินมูลค่าแบรนด์ชั้นนำของโลก ตอกย้ำศักยภาพการขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ

 

Brand Finance Global ได้ประเมิน ปตท. จากการเติบโตของผลการดำเนินงานที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ธุรกิจน้ำมัน รวมถึงการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมและฟื้นฟูการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ผลของการดำเนินงานที่เด่นชัดดังกล่าว ส่งผลให้เกิดมูลค่าแบรนด์ที่แข็งแกร่งทัดเทียมแบรนด์ในระดับสากล

 

Mr. Alex Haigh, Managing Director - Asia Pacific of Brand Finance กล่าวว่า อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติได้เข้าสู่ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงไปเป็นการใช้พลังงานทดแทนในไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลกระทบของโรคระบาดและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำด้านพลังงานเห็นถึงความสำคัญและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยปรับกลยุทธ์สู่การดำเนินธุรกิจพลังงานครอบคลุมทุกมิติ บนพื้นฐานของการคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน

 

นายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า การติดอันดับองค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดและเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดของโลก นับเป็นความภาคภูมิใจของ ปตท. ที่แสดงให้เห็นถึงการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแข็งแกร่งในทุกมิติ ภายใต้วิสัยทัศน์ Powering Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต

 

ปตท. พร้อมเป็นพลังสนับสนุนประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง โดยมุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการดูแลสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนาธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและการก้าวสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน อาทิ ธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life Science) ระบบปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีดิจิทัล (AI & Robotics & Digitalization) เป็นต้น

 

 

Battery Technology for All

ปตท. ผนึกกำลัง นูออโว พลัส ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ โครงการ Battery Technology for All พัฒนาเทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่ มุ่งสู่ Net Zero

เมื่อไม่นานมานี้ นายเชิดชัย บุญชูช่วย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ โครงการ Battery Technology for All

ซึ่งเป็นการลงนามระหว่าง ดร.ยุทธนา สุวรรณโชติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สถาบันนวัตกรรม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ในฐานะ กรรมการ บริษัท นูออโว พลัส จำกัด เพื่อร่วมมือกันในการดำเนินการศึกษาและพัฒนาโครงการ รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่

การผนึกกำลังของ ปตท. และ นูออโว พลัส ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้มั่นคงอย่างยั่งยืน ผ่านการดำเนินการในโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และพัฒนาแบตเตอรี่ต้นแบบสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก อีกทั้งยังเป็นการประสานความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยมีเจตจำนงในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และสนับสนุนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สอดคล้องตามเป้าหมายของกลุ่ม ปตท. เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมพลังงานยั่งยืน ที่พร้อมพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ชุมชนและสังคมในอนาคต
 

ร่วมกันสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย สรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2566 เวลา 19.00 น. ที่ อุโบสถวัดพระธาตุแช่แห้งพระอารามหลวง ตำบลม่วงตึ๊ด อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน พระสุนทรมุณี รองเจ้าคณะจังหวัดน่าน ประธานฝ่ายสงฆ์ นายกฤชเพชร เพชระบูรณิน รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ประธานฝ่ายฆราวาส นำพระภิกษุสงฆ์ – สามเณร และพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดน่าน

 

รวมถึงนักท่องเที่ยว เข้าวัดร่วมปฏิบัติธรรมถวายเป็นพุทธบูชา ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เนื่องในวันมาฆบูชา พร้อมนำพุทธศาสนิกชน ร่วมกันสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย สรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และร่วมกันเวียนเทียนรอบพระธาตุแช่แห้ง จำนวน 3 รอบ

 

โดยมีพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดน่าน รวมถึงนักท่องเที่ยว ร่วมเวียนเทียนเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพื่อเป็นการน้อมระลึกถึงพระกรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ แห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยน้อมนำหลักธรรมดังกล่าวไปประพฤติปฏิบัติให้เป็นกิจวัตร และยึดมั่นอยู่ในคุณงามความดี มีเมตตา ขยันหมั่นเพียรที่จะกระทำความดี

 

 

เที่ยวชุมชน ยลวิถี ชุมชนคุณธรรมบ้านผาบ่อง สุดยอด ชุมชนต้นแบบ แม่ฮ่องสอน

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2566 เวลา 14.00 น. ณ ชุมชนยลวิถี บ้านผาบ่อง หมู่ที่ 1 ตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน นายอมร ศรีตระกูล กำนันตำบลผาบ่อง ผู้นำชุมชน นำคณะกรรมการหมู่บ้านผาบ่อง และสมาชิกชุมชนผาบ่อง

ให้การต้อนรับ ฯ รองศาสตราจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ กลุ่มกระทรวง คณะที่ ๓ พร้อมคณะ ลงพื้นที่ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน โครงการสุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ชุมชนคุณธรรมฯ ณ บ้านผาบ่อง ตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้ดำเนินโครงการคัดเลือกให้ชุมชนคุณธรรม ฯ บ้านผาบ่อง ต.ผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ได้รับการคัดเลือกเป็น 1ใน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ


สำหรับ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ต้องเป็นชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวรที่มีศักยภาพและความพร้อมด้านการท่องเที่ยวจากชุมชนคุณธรรมฯ

โดยคัดเลือกจากทั่วประเทศ 228 ชุมชน ให้ได้ 10 ชุมชน ที่มีศักยภาพและความพร้อมด้านการท่องเที่ยวในทุกมิติ พร้อมประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงกว้าง

เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดและขยายผลความสำเร็จไปยังชุมชนอื่นๆ ปลุกกระแสการท่องเที่ยววิถีชุมชน สร้างโอกาส สร้างรายได้ ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของชุมชน

เมื่อวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) คลี่คลายและเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน

ชุมชนคุณธรรมบ้านผาบ่อง เป็นชุมชนเล็กๆ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวิถีชีวิตสองกลุ่มชาติพันธุ์ คือ ชาวไตหรือไทใหญ่และชาวปกาเกอะญอ ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวมานานนับร้อยปี

ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น การแสดงศิลปะพื้นบ้านของชาวไทยใหญ่ สัมผัสบรรยากาศของการท่องเที่ยวที่อบอุ่น โดยมีจุดท่องเที่ยวต่างๆ ภายในชุมชนและบริเวณใกล้เคียง จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจเมื่อมาเที่ยวบ้านผาบ่อง คือ สะพานข้าว ก้าวเพื่อสุข สะพานไม้ไผ่ทอดยาวกลางทุ่งข้าวโอบล้อมไปด้วยขุนเขา สดชื่นด้วยบรรยากาศแสนบริสุทธิ์และความเป็นธรรมชาติ

ชมกิจกรรมและเเละผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่กาดซอกจ่า ณ ลานวัฒนธรรมชุมชนผาบ่อง ชมสถาปัตยกรรมแบบไทใหญ่ และวิถีชุมชนซึ่งคงเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียบง่ายและมีเสน่ห์

ป้องกันไฟป่าเชียงใหม่ นอภ.ดอยสะเก็ด เปิดงานแนวกันไฟ พร้อมปชช.และ นศ.แม่โจ้ร่วมทำแนวกันไฟ

ประชาชน ผู้นำชุมชนเครือข่ายไฟป่า จิตอาสา และนักศึกษา ม.แม่โจ้ ลงพื้นที่ทำแนวกันไฟ ส่วน นศ.เรียนรู้ปัญหาฝุ่นควันไฟป่าศึกษานอกห้องเรียนหาแนวทางป้อนกันและแก้ไข นายธนกฤต ฉันทะจำรัสศิลป์ นายอำเภอดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เป็นประธานเปิดงานทำแนวกันไฟ ชุมชนดงป่าก่อ หมู่ 2 ต.เชิงดอย

 

โดยทางนายมงคล ชัยวุฒิ นายยกเทศมนตรีตำบลเชิงดอย นำชาวบ้าน และพี่น้องเครือข่ายไฟป่า พี่น้องจิตอาสา ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เทศบาลในพื้นที่ทั้ง 2 แห่ง และท่านอาจารย์ น้อง ๆ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นผู้ร่วมปฏิบัติงาน ทั้งนี้นักศึกษาได้รับฟังการบรรยายเรื่องปัญหาฝุ่นควันไฟป่า จากนายกเทศมนตรีตำบลเชิงดอย ประกอบการเรียนการสอนนอกห้องเรียน การทำงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา

 

ที่มา เชียงใหม่นิวส์

งานนี้เที่ยวฟรี! ชาวพิจิตร คึกคัก ทำบุญวันมาฆบูชา แห่ชมมหกรรมลิเกแก้บนหลวงพ่อเหลือ วัดหงษ์

อะเมซิ่งสายมู! ทึ่งในความศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ของหลวงพ่อเหลือ วัดหงษ์ ตำบลย่านยาว เมืองพิจิตร กลายเป็นที่เลื่องลือ “บนบานศาลกล่าว ขอเงินได้เงิน ของานได้งาน ขอมีลูกชายหญิงได้สมดั่งใจ” ทุกวันเพ็ญเดือน 4 ของทุกปี วัดกำหนดให้เป็นวันจัดงานมหกรรมแก้บนคนโชคดีด้วยการนำลิเกมารำแสดงถวาย

 

วันที่ 6 มีนาคม 2566 ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา และตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ซึ่งเป็นประจำทุกปีที่วัดหงษ์ ตำบลย่านยาว เมืองพิจิตร หรือ วัดหลวงพ่อเหลือ ได้กำหนดให้ในช่วงระหว่างวันที่ 5-8 มีนาคม 2566 เป็นวันจัดงานนมัสการและสมโภชหลวงพ่อเหลือขึ้น โดย พ.ต.อ. กฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ นายก อบจ.พิจิตร เป็นประธานเปิดงานท่ามกลางศิษยานุศิษย์ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศนับหมื่นคนที่พร้อมใจมาแก้บนภายในงานด้วยการนำลิเกรำแก้บนเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตการงาน

 

พระครูวิวิธบุญกิจ เจ้าอาวาสวัดหงษ์ “พระอาจารย์สมชาย” เล่าประวัติของวัดแห่งนี้ผ่านการแสดงไลท์แอนด์ซาวด์เล่าประวัติว่า วัดหงษ์ เดิมชื่อ วัดโหง , วัดหงส์ หรือ วัดหงสาวาส ตั้งอยู่ที่หมู่ 3 ตำบลย่านยาว อำเภอเมืองพิจิตร สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2400 มีโบราณวัตถุสำคัญ คือ พระพุทธรูป พระประธานในโบสถ์ นามว่า “หลวงพ่อเหลือ” ซึ่งในอดีตวัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง อยู่ริมแม่น้ำน่านมีพระประธานในอุโบสถร้างนั้นเดิมเรียกว่า “หลวงพ่อโต” ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2440 แม่น้ำน่านกัดเซาะตลิ่งชาวบ้านจึงช่วยกันย้ายวัดและพระประธานให้ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำน่าน จนมาประดิษฐานอยู่ ณ อุโบสถ วัดหงษ์ ตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2472 ตรงกับวันแรม 15 ค่ำเดือน 12 ปีมะเส็ง

 

หลวงพ่อเหลือเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยประทับนั่งฐานเขียง พระเพลากว้าง 96 นิ้ว สูง 133 นิ้ว ทรงยืดพระอุระผึ่งผายมีลักษณะงดงาม สันนิษฐานว่า ช่างปั้น ช่างหล่อพระ สร้างขึ้น เป็นฝีมือสกุลช่างสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ภายในวัดแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพรรณ อีกทั้งยังมีต้นตะเคียนใหญ่ที่ชาวบ้านเคารพนับถือกราบไหว้ ชื่อ “แม่โหง แม่นาง” เพราะเชื่อกันว่ามีนางไม้สิงสถิตอยู่อายุประมาณ 200 ปี

 

ชาวบ้านกราบไหว้บนบานศาลกล่าวเคยได้โชคได้ลาภสมดังปรารถนา เช่นเดียวกับหลวงพ่อเหลือที่อยู่ภายในอุโบสถวัดหงษ์ เป็นประจำทุกวันก็จะมีผู้คนมากราบไหว้บนบานศาลกล่าว ขอให้ลูกให้หลานสอบเข้าเรียนตำรวจ ทหาร ก็ได้สมดั่งใจนึก บนบานศาลกล่าวขอให้ทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง ขอให้มีลูกชายหญิง ก็ได้ง่าย เหมือนดั่งเทวดาประทานพรให้ ฯลฯ ความศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ของหลวงพ่อเหลือวัดหงษ์ สะสมบารมี มีข่าวแพร่กระจายโด่งดังไปทั่ว

 

อีกทั้งมีความเชื่อกันว่าถ้าบนบานศาลกล่าวด้วยลิเก ที่เชื่อกันว่า หลวงพ่อเหลือชอบมากนักแล เมื่อได้สมดั่งใจนึกที่บนบานศาลกล่าวไว้ ต่างคนต่างก็นำลิเกมาเล่นแก้บน ทั้งกลางวันกลางคืน ซึ่งวัดหงษ์ย่านยาว แห่งนี้ ตั้งอยู่ติดกับโรงเรียนบ้านวัดหงษ์ เมื่อลิเกมาเล่นแก้บนกันแทบทุกวันทั้งกลางวันกลางคืน เด็กๆ ก็ไม่เป็นอันเรียนหนังสือ ส่วนพระสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่มีสมาธิในการสวดมนต์ภาวนา

 

ดังนั้นต่อมากรรมการวัดและคณะสงฆ์จึงพิจารณาว่าสมควรให้ผู้ที่จะทำการจ้างลิเกมาแสดงแก้บนหลวงพ่อเหลือ วัดหงษ์ ขอให้มาแก้บนพร้อมๆกันในวันงานสมโภชแก้บนหลวงพ่อเหลือวัดหงษ์ ที่จะจัดขึ้นในช่วงงานเพ็ญเดือน 4 ( ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ) ของทุกปี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 5-8 มีนาคม 2566 ในอดีต ต่างคนต่างหาลิเกมาเล่นประชันกันดังสนั่นลั่นวัดไปหมด

 

โดยต่อมาทางวัดจึงได้วางกุศโลบายสำหรับผู้ที่จะมาทำการแก้บนให้มาลงทะเบียนจองคิวลิเกที่ทางวัดจัดหาไว้ให้ แล้วร้อง รำ เล่น ถวายหลวงพ่อเหลือเป็นรอบๆไป หรือจะบูชาธูปในราคาดอกละ 20 บาท เพื่อหารายได้เข้าวัดโดยใช้ธูป 1 ดอก เป็นตัวแทนลิเก 1 ตัวแสดง

 

สิ่งที่พบเห็นเป็นประจำทุกปี พบว่าในวันจัดงานสมโภชแก้บนหลวงพ่อเหลือมีผู้ที่สมหวังจากการที่เคยบนบานศาลกล่าวแล้วสมหวังจำนวนนับพันนับหมื่นคน แห่กันมาร่วมงานแก้บนอันยิ่งใหญ่ในทุกๆปี ดังนั้นปีนี้หากท่านบนบานศาลกล่าวสิ่งใดหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใดไว้ก็สามารถมาร่วมบูชาธูป เพื่อใช้แทนตัวแสดงลิเก

 

เพื่อใช้ในการแก้บนในครั้งนี้ได้ด้วย หรือมีความปรารถนาสิ่งใดที่ต้องการจะบนบานศาลกล่าวให้หลวงพ่อเหลือวัดหงษ์ประทานพรความศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ช่วยเหลือ ก็ขอเชิญชวนมาเที่ยวงานในวันและเวลาดังกล่าว งานนี้เที่ยวฟรี!


TRENDING
© Copyright 2022, All rights reserved. North Time Thailand
Take Me Top