เร่งเชื่อมโยง ฐานข้อมูลสวัสดิการ เพื่อช่วยเหลือประชาชน ทุกกลุ่มเป้าหมาย
เมื่อ 24 มี.ค. 66 เวลา 10.00 น. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบูรณาการเชื่อมโยงฐานข้อมูล ด้านสวัสดิการของรัฐ ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ที่ประชุมได้รับทราบ การดำเนินการออกแบบ การเชื่อมโยงฐานข้อมูลด้านสวัสดิการของรัฐ และการดำเนินการเชื่อมโยงฐานข้อมูล ผ่านหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน รวมถึงข้อมูลบุคคลด้านอื่น ๆ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อาศัย เป็นต้น และได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีการจัดทำ API เพื่อใช้ค้นหาข้อมูลสวัสดิการที่ได้มีการเชื่อมโยง และรวบรวมข้อมูลแล้ว สามารถค้นหาด้วยหมายเลขบัตรประชาชน และจัดทำ Dashboard เพื่อแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูล และแสดงความซ้ำซ้อนของสวัสดิการ และได้ทำการเชื่อมโยงฯ แล้วจำนวน 13 สวัสดิการ มีประชากรได้รับสิทธิ ถึง 19,348,391 ราย (27,923,508 สิทธิ) อาทิ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กองทุนคุ้มครองเด็ก เบี้ยความพิการ และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นต้น
จากนั้น คณะกรรมการฯ ได้ร่วมกันพิจารณาเห็นชอบการดำเนินการเชื่อมโยงฐานข้อมูลด้านสวัสดิการของรัฐในระยะต่อไป จำนวน 22 สวัสดิการ (เดิม 13 สวัสดิการ) และเห็นชอบการบริหารจัดการฐานข้อมูลด้านสวัสดิการของรัฐ โดยมีหน่วยงานหลักที่สำคัญ ได้แก่ ก. ดีอีเอส , สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ ก. ดีอีเอส, กค., มท.และ พม.ให้เร่งรัดการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการฯ เพื่อให้ฐานข้อมูลสวัสดิการของรัฐ เป็นระบบเดียวกัน ครอบคลุมประชากรที่จะได้รับการช่วยเหลือทุกกลุ่มเป้าหมาย และตอบสนองความต้องการ การให้บริการประชาชนได้ อย่างสะดวกรวดเร็ว เข้าถึงได้ง่าย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ ตามนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาส และความเสมอภาค
Digital Tourism Business Matching ครั้งที่ 1
ดีป้า ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ นำร่องจัดกิจกรรม Digital Tourism Business Matching ครั้งที่ 1 กระตุ้นผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยประยุกต์ใช้แพลตฟอร์ม ThailandCONNEX และเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมเปิดโอกาสพูดคุย ขอคำปรึกษา และเจรจาทางธุรกิจกับเครือข่าย ดิจิทัลสตาร์ทอัพ เพื่อร่วมพลิกโฉมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในยุคดิจิทัล
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Digital Tourism Business Matching ครั้งที่ 1 โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า พร้อมด้วย นายณัฐเศรษฐ วงศ์วัฒนากานต์ ซีอีโอ ทราวิซโก เทคโนโลยี รวมถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่ภาคเหนือ อีกทั้งผู้สนใจร่วมในพิธีโดยพร้อมเพรียง
นายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการ Online Travel Agents (OTAs) มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยจุดเด่นด้านความสะดวกในการบริหารเวลา เปรียบเทียบราคา และจัดสรรงบประมาณเพื่อการจับจ่าย โดย OTAs ที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่เป็นของผู้ประกอบการต่างชาติ ดังนั้น กระทรวงดิจิทัลฯ โดย ดีป้า
จึงได้ร่วมกับ ทราวิซโก เทคโนโลยี ดำเนินโครงการ ‘เปิดเมือง เปิดท่องเที่ยวไทยด้วยดิจิทัล’ พร้อมพัฒนา ThailandCONNEX แพลตฟอร์มกลางด้านการท่องเที่ยวของไทยที่นำเทคโนโลยี Data Bank & Token เข้ามาช่วยบริหารจัดการข้อมูลด้านการท่องเที่ยว มีคลังข้อมูลที่สามารถออกแบบการท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มได้อย่างเหมาะสม
ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวว่า กิจกรรม Digital Tourism Business Matching ครั้งที่ 1 พื้นที่ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ กระทรวงดิจิทัลฯ โดย ดีป้า และ ทราวิสโก เทคโนโลยี รวมถึงดิจิทัลสตาร์ทอัพ และเครือข่ายพันธมิตร ประกอบด้วยเวทีเสวนาวิเคราะห์เจาะลึกและเวิร์กชอปสุดเข้มข้นเพื่ออัปสกิล ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยตลอดระยะเวลา 2 วันของการจัดกิจกรรม
อาทิ ThailandCONNEX โอกาสที่มากขึ้นในต้นทุนที่ต่ำกว่า ผู้ประกอบการท่องเที่ยวกับมิติของการเป็น Content Creator/Influencer การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับธุรกิจท่องเที่ยว จัดรูปแบบท่องเที่ยวแบบไหนที่ผู้ประกอบการไทยจะได้ประโยชน์ การท่องเที่ยวชุมชนกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างความแตกต่างที่ยั่งยืน สร้างโอกาสธุรกิจ ฝ่าวิกฤติด้วยแหล่งเงินทุน ฯลฯ พร้อมกันนี้ยังมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์จากดิจิทัลสตาร์ทอัพ การพูดคุย ปรึกษา และเจรจาทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวกับดิจิทัลสตาร์ทอัพ
“ดีป้า มีแผนจัดกิจกรรม Digital Tourism Business Matching เพื่อสร้างความตระหนักและกระตุ้นให้เกิดการประยุกต์ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล ThailandCONNEX รวมถึงเทคโนโลยีจากเครือข่ายดิจิทัลสตาร์ทอัพและผู้ให้บริการดิจิทัล (Digital Provider) แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั่วประเทศรวมกว่า 5,600 ราย ใน 5 เมืองท่องเที่ยวสำคัญ 5 ภูมิภาค ประกอบด้วย เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ นครราชสีมา ชลบุรี และ ภูเก็ต ระหว่างเดือนมีนาคม - กรกฎาคม พร้อมนำดิจิทัลสตาร์ทอัพร่วมพบปะผู้ประกอบการท่องเที่ยว
โดยประเมินว่า กิจกรรมดังกล่าวจะก่อให้เกิดการเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) มากกว่า 500 ราย ซึ่งขณะนี้มีดิจิทัลสตาร์ทอัพ รวมถึงผู้ให้บริการดิจิทัลตอบรับเข้าร่วมในแพลตฟอร์ม ThailandCONNEX แล้ว 53 ราย และพร้อมที่จะเดินทางพบปะ พูดคุย ให้คำปรึกษา และเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั่วประเทศ เพื่อสร้างความตระหนักและกระตุ้นให้เกิดการใช้ ThailandCONNEX รวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัลตอบโจทย์ธุรกิจ เป็นคู่คิดที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการตลาดให้กับผู้ประกอบการ และพร้อมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่ความยั่งยืนในอนาคต” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
ด้าน นายณัฐเศรษฐ กล่าวว่า ThailandCONNEX ได้รับการออกแบบให้มีการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ภายใต้มาตรฐานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และมีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ประมวลผลเพื่อค้นหาเทรนด์ความชอบและความต้องการของนักท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในด้านการออกแบบ ปรับปรุงสินค้าและบริการ
และต่อหน่วยงานภาครัฐในการกำหนดนโยบายและแนวทางการส่งเสริมที่มีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการยกระดับผู้ประกอบการท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดย ทราวิซโก เทคโนโลยี และ ดีป้า รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องจะจัดกิจกรรมทั่วประเทศ เพื่อสร้างการรับรู้ควบคู่ไปกับการหาสินค้าและบริการเข้าสู่แพลตฟอร์ม ThailandCONNEX ตลอดจนประสานความร่วมมือกับพันธมิตรต่างชาติในการเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย
“ไม่โกรธเคือง เข้าใจว่าการเมืองคือการเมือง”
วันที่ 23 มี.ค.2566 - เมื่อเวลา 14.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่า นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ อดีต ส.ส. อุตรดิตถ์ พรรคเพื่อชาติ ได้เดินทางมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค รทสช. แล้ว
โดยได้ขึ้นไปรอข้างบนพรรค เนื่องจากมาไม่ทันช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว. กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคฯ สวมเสื้อให้ทีมเศรษฐกิจและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.
ทั้งนี้ทันทีที่นายศรัณย์วุฒิ ได้พบกับ พล.อ.ประยุทธ์ นายศรัณย์วุฒิ ได้คุกเข่าขอขมา พล.อ.ประยุทธ์ ที่ก่อนหน้านี้ได้พูดในสภาด้วยการใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์จับมือพร้อมกล่าวว่า “ไม่โกรธเคือง เข้าใจว่าการเมืองคือการเมือง”
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับกรณีมีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 นั้น ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ตัดสินใจ เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ เองเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค รทสช. และเป็นสมาชิกพรรค ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนของพรรค รทสช. อยู่แล้ว
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ว่า
จากกรณีการจัดลำดับปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคการเมือง ซึ่งกำลังเป็นประเด็นที่สังคมกำลังจับตามองอยู่นั้น นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ว่า
ผมก็เรียนว่าการจัดปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคการเมืองโดยหลักการก็จะเรียงตามลําดับ ผู้บริหาร คณะทํางาน ซึ่งโดยลําดับหนึ่งก็ต้องเป็นหัวหน้าพรรค แล้วก็รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค รองหัวหน้า เรียงลงไปซึ่งปกติของพรรคการเมือง พรรคพลังประชารัฐก็จัดตามนี้ ส่วนที่เหลือก็จะเป็นตามบุคลากรหรือคนที่มีบทบาทมาช่วยงานในพรรคพลังประชารัฐเป็นเรื่องปกติ เพื่อมาช่วยกันขับเคลื่อนงานสภาและงานการเมืองในอนาคตหลังการเลือกตั้ง
ความรู้สึกความอบอุ่นของพลเอกประวิตรกับลูกๆที่ถ่ายรูป อย่างพรรคพลังประชารัฐ ก็เป็นพรรคที่ก่อตั้งมาหลายปีแล้วก็สามารถร่วมแรงร่วมใจกันทํางานมาครบสี่ปี เราอาจจะมีการขัดแย้งกันบ้าง มีคนเข้าบ้างคนออกบ้าง แต่ว่าทุกคนก็ยัง รักและเคารพท่านพลเอกประวิตร หัวหน้าพรรค ก็คิดว่าถ้าเป็นพ่อแล้วกัน เราก็เป็นลูก ที่เป็นพี่น้องกันก็ช่วยกันทํางานให้พรรค ในวันนี้ก็อยู่มาได้สี่ปีแล้วแต่ว่าถ้าไม่มีพลเอกประวิตร รัฐบาลคงอยู่ไม่ได้ครบสี่ปี ก้าวข้ามความขัดแย้งกันได้จนสามารถบ้านเมืองสงบสุข พัฒนาประเทศไทย เพราะเชื่อว่าการเลือกตั้งเราก็จะช่วยกันทํางานต่อไปได้
ลุงป้อมเปิดบ้านทุกวันแล้วก็มีคนมาทานข้าวด้วย จริงๆก็มีหลายพรรคทั้งพรรคเล็กพรรคใหญ่ พรรคกลางมาหมดเพียงแต่ว่าบางทีก็ภาพไม่ได้ออกไป แต่ว่าอย่างพรรคภูมิใจไทยเขาก็เป็นพรรคขนาดใหญ่มาทานข้าว คนอาจจะให้ความสนใจ มีมาทุกพรรคทุกกลุ่มไม่ได้เรื่องผิดปกติ ผมว่าผมไม่อยากพูด ก็มาคุยกันเรื่อยๆเกือบทุกพรรค ยกเว้นพรรคฝ่ายค้าน การวางตัวผู้สมัครมีข้อมูลครบหมดแล้ว
โดยจะประชุมกรรมการบริหารพรรคภายในก่อนสิ้นเดือนนี้ มีเป้าหมายวางครบทุกเขต ส่วนผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อจะทำให้เรียบร้อยก่อนวันที่ 3 เม.ย.2566 ซึ่งจะทำให้ครบถ้วนตามกฎหมายแน่นอน นายชัยวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย
‘‘พนันออนไลน์กับระบบคอร์รัปชั่น’’
วันที่ 22 มีนาคม 2566 ชมรมต่อต้านการคอร์รัปชั่น แห่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้กําหนด จัดโครงการเสวนาในหัวข้อ ‘‘พนันออนไลน์กับระบบคอร์รัปชั่น’’ ขึ้น ในวันที่ 22 มีนาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 08.30 – 12.00 น. ณ ห้อง 11 - 0903 คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการทราบมุมมองของเยาวชนต่อเรื่องพนันออนไลน์กับระบบคอร์รัปชั่น ตระหนักรู้ถึงผลของภัยของการพนันออนไลน์และแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดในเรื่องพนันออนไลน์กับการคอร์รัปชั่น เพื่อเปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาได้มีพื้นที่แสดงความคิดเห็นเพื่อหาทิศทางการพัฒนาประเทศร่วมกันต่อไป
โดยมีตัวแทนวิทยากร2ท่านเข้าร่วมเสวนาได้แก่ นายณัฐวีร์ พุ่มระชัฎร์ อดีตประธานชมรมต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่น มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ และนายภูริทัต สายแสน ผู้แทนในโครงการ Digital Youth Network Thailand ผู้นําเยาวชนอาสาดิจิทลั ร่วมเสวนาเกี่ยวกับการพนันออนไลน์กับการคอร์รัปชั่น ซึ่งได้เสนอความความเห็นภายในงานว่า
โดยภายในการเสวนานั้นได้มีข้อมูลที่น่าสนใจได้แก่ เหตุผลที่การพนันถึงเป็นที่น่าสนใจ เพราะ การพนันนั้น ไม่ได้จํากัดเพศ วรรณะ และทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะกลุ่ม เยาวชนและการพนันออนไลน์ก็มีสิ่งที่น่าดึงดูดใจให้บุคคลต่าง ๆ เข้าไปทําการเล่นพนันออนไลน์มากขึ้น
โดยกลุ่มเยาวชนที่อายุน้อยที่สุด คือ อายุ 7 ปี หรือ ป.1 ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ประชาชนสามารถเข้าถึงการพนันออนไลน์ได้มากขึ้น
เนื่องจากเป็นไปตามกระแสโลกาภิวัฒน์ ทุกคนสามารถเข้าถึงการพนันออนไลน์ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยน IP ทําให้การพนันออนไลน์สามารถเข้าถึงได้ง่ายแต่ก็ทําให้ควบคุมยากบรรทัดฐานทางสังคมทําให้เกิดการขัดแย้งในเรื่องของศีลธรรม เกิดการขัดแย้งระหว่างสองความคิดระหว่าง แนวคิดแบบเก่าและแนวคิดแบบใหม่
“เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่” การพนันออนไลน์ก็คือการพนันเหมือนกัน สามารถทําให้ “คนเป็นเศรษฐีชั่วคราวแต่เป็นยาจกไปชั่วชีวิต”
ส่วนสถานการณ์การพนันออนไลน์นั้น พบว่าใน 2 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2564–2565) พบว่าการพนันออนไลน์มีการเติบโตขึ้นมากเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) ทําให้คนในสังคมเกิดความอัดอั้นทางอารมณ์ ประกอบกับการพนันออนไลน์เกิดขึ้นมาก ทําให้การพนันออนไลน์มีการเติบโตขึ้นมาก
แม้กระทั่งในต่างจังหวัดก็เริ่มพบเด็กและเยาวชนเล่นการพนันเป็นปกติอีกทั้งบุคคลที่เล่นพนันออนไลน์ ก็ไม่มีความผิดตามกฎหมาย พนัน แต่มีความผิดตาม พ.ร.บ. คอม พ.ศ. 2560 และเมื่อสํารวจเว็บไซต์การพนันออนไลน์ก็พบโดยเว็บไซต์การพนัน ออนไลน์ถึง 214 เว็บไซต์ และทําให้เกิดการฟอกเงิน นําเงินที่ผิดกฎหมายมาเล่นการพนัน ที่มาจากการชิงปล้น หลอกลวง ชิงทรัพย์ผู้อื่นทําให้ครอบครัวเกิดการแตกแยก
ส่วนการผลักดันการพนันออนไลน์ให้ถูกต้องตามกฎหมายนั้นต้องผลักดันโดยอํานาจทางการเมืองเราจึงไม่เห็นในประเทศไทย และในบางครั้ง รัฐก็ควบคุมไม่ได้ ในประเทศไทยเองก็มิใช่ว่าจะไม่ควบคุม รัฐบาลรู้ เข้าถึงจริง แต่ขาดความรู้ใน การจัดการอีกทั้งกฎหมายมีความล้าสมัยและมีช่องว่างทําให้เกิดความสับสนว่าหน่วยงานไหนมีอํานาจจัดการทําให้การ เอาผิด การปราบปรามทําได้ยาก ส่วนในมิตินโยบายสาธารณะ ก็เกิดคําถามที่ว่า ไม่ทราบว่ารัฐทราบหรือไม่ทราบเรื่องการ พนันออนไลน์ จนมีบุคคลมาเปิดโปงจึงทราบว่ามีการพนันออนไลน์
ภายในงานมีข้อเสนอแนะจากผู้ที่เข้าร่วมเสวนา คือ
1. หากเปิดการพนันให้มีการเสรี เราต้องคุ้มมครอง ป้องกัน สิทธิเด็ก รัฐต้องเข้มขวด ออกกฎหมาย และต้องมีการบังคับใช้จริง
2. นายกรัฐมนตรี ต้องหาข้อมูล ต้นแบบจากประเทศที่ทําได้อยู่แล้ว และนํามาปรับใช้ในไทย ซึ่งสามารถทําให้เป็น softpower ได้ด้วยอีกทั้งหากมีการสร้างคาสิโนก็จะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้กระจายรายได้ให้กับพื้นที่ที่คาสิโนตั้งอยู่ได้แต่ก็ต้องคํานึงในเรื่องพื้นที่ที่เหมาะสม
ทั้งนี้ภายในงานนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ฝากประเด็นในวงเสวนาครั้งนี้ในรูปแบบวิดีโออีกด้วยโดยกล่าวว่า “ขอบคุณผู้จัดงานในครั้งนี้ที่ได้เชิญให้ตนเองมาแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับหัวข้อนี้ ซึ่งเป็นหัวข้อที่น่าสนใจมาก ดีใจที่เยาวชนให้ความสนใจในเรื่องปัญหาสังคมซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของระบบการเมืองไทยด้วย
เพราะกฎหมายห้ามทางการพนันออนไลน์แต่บริบทของสังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว ปัจจุบันมีเว็บการพนันเข้ามามากแพร่หลายมากจนเป็นวิถีชีวิตหนึ่งของสังคมไทยไปแล้ว ซึ่งเราควรจะคุยกันว่ามีการปรับปรุงกฎหมายอย่างไร เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี เพราะทุกวันนี้พอมันผิดกฎหมายก็จะมีการจ่ายส่วย เกิดธุรกิจใต้ดิน เกิดผลประโยชน์ที่ไม่ถูกกฎหมาย เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาผมว่าถึงเวลาที่เราจะต้องแก้ไขกฎหมายให้ทันสังคมไทย อยากให้ทุกคนส่งเสียงให้นักการเมืองและพรรคการเมืองนำสิ่งนี้ไปแก้ไขต่อไป”
พรรคภูมิใจไทย มี “นโยบายพลังงานสะอาด ลดรายจ่ายประชาชน ฟรี !
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคภูมิใจไทย กล่าวในเวทีเสวนาออนไลน์ : ล้านหลังคา ล้านโซล่าเซลล์ จัดโดย สภาองค์กรของผู้บริโภค โดยนำเสนอว่า พรรคภูมิใจไทย มี “นโยบายพลังงานสะอาด ลดรายจ่ายประชาชน ฟรี ! หลังคาโซล่าเซลล์ ลดค่าไฟฟ้า หลังคาเรือนละ 450 บาท มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ผ่อน เดือนละ 100 บาท 60 งวด”
โดยคาดว่าจะมีการติด โซล่าเซลล์ 21 ล้านหลังคาเรือน เราคิดว่าจะติดให้ฟรีทุกครัวเรือน เป็นเรื่องที่สามารถทำได้จริง โดยแหล่งเงินจะมาจากการทำกองทุนขายพันธบัตร ระดมทุนให้สามารถติดโซล่าเซลล์ ได้ทุกหลังคาเรือน
“ทำเหมือนกับการเปลี่ยนระบบโทรทัศน์จากระบบอนาล็อก ไปเป็นโทรทัศน์ระบบดิจิตอล เมื่อไม่นานที่ผ่านมา เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ ให้สามารถทำฐานการผลิตโซล่าเซลล์ ในประเทศไทย คิดดูว่าจะทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมหาศาล คิดดูว่า 21 ล้านหลังคาเรือน จะมีการจ้างงานเท่าไหร่ ในปีที่ผ่านมา เรื่องหลังคาโซล่าเซลล์ เติบโตเพียง 1% ประเทศไทยไม่มีโรงงานผลิตโซล่าเซลล์ หากการติดโซล่าเซลล์ 20 ล้านหลังคาเรือน เกิดขึ้น เราจะเป็นฐานโรงงานผลิตโซล่าเซลล์ และเกิดกาจ้างงานมหาศาล และผลิตไฟฟ้า ได้ประมาณครึ่ง ของพลังงานที่ผลิตในประเทศ เป็นพลังงานสะอาด”
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า วันนี้โลกมีกำแพงเกิดขึ้น เรียกว่าคาร์บอนเครดิต หากเรามีอากาศสะอาด เป็นเรื่องที่สามารถดึงดูดนักลงทุนในประเทศได้ง่ายกว่า ติดให้กับทุกหลักคาเรือน ขนาดประมาณ 3 KVA หรือคิดเป็น 450 บาท ที่จะสามารถประหยัดค่าพลังงานได้ หากนโยบายพรรคภูมิใจไทย สำเร็จ อาจจะให้รวมกลุ่มชุมชน ขายตรงให้โรงงานอุตสาหกรรม ไม่ต้องเสียส่วนต่างให้การไฟฟ้าได้อีกด้วย
นายสิริพงศ์ กล่าวด้วยว่า นโยบายชุดนี้ มีเรื่อง มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า โดยกำหนดสิทธิ์ 1 หลังคาเรือน ที่ติดตั้งโซล่าเซลล์ จะได้สิทธิ์ซื้อได้ 1 คัน ดังนั้น 21 ล้านหลังคาเรือน คิดดูว่าจะเกิดการปฎิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า อาจจะเป็นที่ 1 ของอาเชีย หรือที่ 1 ของทวีปเอเชีย ได้เลย เป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติ แต่ทั้งหมดมีปัญหาอุปสรรค์ ที่ต้องไปติดปัญหาเรื่องต่างๆ ทั้งใบอนุญาต ไปติดเงื่อนไขอุตสาหกรรม กรมโรงงาน แต่พรรคภูมิใจไทยทลายทุกข้อจำกัด นโยบายนี้จะเป็นจริง ถ้านายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรรคภูมิใจไทย จะต้องได้เสียงมากพอ เราจะทำนโยบายนี้ได้แน่นอน
ความชัดเจนการเสนอ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ลงสมัคร ส.ส.
วันที่ 22 มี.ค.2566 - นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงความชัดเจนการเสนอ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ลงสมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรคว่า
โดยหลักการผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับที่หนึ่งเป็นของหัวหน้าพรรคอยู่แล้ว นอกจาก พล.อ.ประวิตรจะติดขัดก็จะพิจารณาอีกที ส่วนลำดับอื่นๆ จะเป็นกรรมการบริหารพรรคเรียงไปตามลำดับ ถือเป็นเรื่องปกติของทุกพรรคการเมือง ยกเว้นบางพรรคที่เป็นครอบครัวอาจให้หัวหน้าครอบครัวก่อน หรืออาจมีใครที่ใหญ่กว่าหัวหน้าพรรค เพราะโครงสร้างแต่ละพรรคไม่เหมือนกัน
แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐหัวหน้าพรรคคือเบอร์หนึ่งแน่นอน นายชัยวุฒิ กล่าวว่าส่วนพรรคพลังประชารัฐจะมีความชัดเจน เรื่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อเมื่อไหร่นั้น น่าจะเป็นวันที่ 28 มี.ค.นี้ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามไทม์ไลน์ของพรรค
เพราะต้องมีการประชุมทำไพรมารีโหวตก่อน และต้องประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค เพราะกระบวนการพิจารณาสุดท้าย อยู่ที่กรรมการบริหารพรรค ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 มี.ค.นี้ และวันที่ 30 มี.ค.จะแถลงเปิดตัว
นายวิรัช รัตนเศรษฐ อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค พปชร. เปิดเผยว่าพรรคเตรียมที่จะประชุมสัมมนา เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครทั้ง 400 เขต ในวันที่ 30 มี.ค.นี้ ในพื้นที่ กทม. ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณาสถานที่อยู่ ขณะที่การจัดทำไพรมารีโหวตของพรรค คาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกินวันที่ 25 มี.ค. ส่วนการเดินสายปราศรัย หาเสียงของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค ในวันที่ 25 -26 มี.ค. จะไปที่ จ.พิจิตร และกำแพงเพชร
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวเรื่องการวางตัวผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในส่วนของ จ.นครราชสีมา ที่ครั้งก่อนสามารถกวาด ส.ส.แบบแบ่งเขตมาได้ถึง 6 ที่นั่ง ขณะนี้วางตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้ง 16 เขตเลือกตั้ง
ประกอบด้วย นายเกษม ศุภรานนท์ อดีต ส.ส.นครราชสีมา เขต 1, นายประพิศ นวมโคกสูง เขต 2, นายวีรวัฒน์ มิตรสูงเนิน เขต 3, นายสุธรรม พรสันเทียะ เขต 4, นายทวิรัฐ รัตนเศรษฐ อดีต ส.ส.นครราชสีมา เขต 5, นางอรทัย พลวิเศษ เขต 6, นางทัศนียา รัตนเศรษฐ อดีต ส.ส.นครราชสีมา เขต 7, นางอรัชมน รัตนเศรษฐ เขต 8, นางทัศนาพร เกษเมธีการุณ อดีต ส.ส.นครราชสีมา เขต 9, นายณัฐพล ชวนกระโทก เขต 10, พ.ต.อ.ปริวัฒน์ นาคำ เขต 11, น.ส.กาญจนา เปรมพิรักษา เขต 12, นายสุกฤษณ์ วัชรมาลีกุล เขต 13, นายวิรัตน์ วาริชอลังการ เขต 14, นายพจน์ เจริญสันเทียะ เขต 15 และนายตติรัฐ รัตนเศรษฐ เขต 16
ขณะที่นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม และอดีต ส.ส.นครราชสีมา จะขยับไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ นอกจากนี้ ยังพบว่า นางอรทัย พลวิเศษ ที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขต 6 เป็นมารดาของนายนวพล พลวิเศษ ที่ไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.นครราชสีมา กับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)
นายวิรัช รัตนเศรษฐ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวว่า พปชร.ตั้งความหวังในพื้นที่ จ.นครราชสีมาไว้ทุกเขต โดย พปชร.จะมีการปราศรัยใหญ่ที่ จ.นครราชสีมา ในวันที่ 22 เม.ย.
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ที่อาคารยิมเนเซียม สนามกีฬาสมโภชน์ 700 ปี จ.เชียงใหม่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวปราศรัยในเวทีหาเสียงของพรรค พปชร. ว่า
บางพรรคพูดถึงผลงานตัวเองเมื่อ 20 ปีที่แล้ว พูดแต่เรื่องเก่าๆ เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค สมัยก่อนมีปัญหามากแถวบ้านผมเรียก 30 บาทตายห่าทุกโรค เพราะโรงพยาบาลและรัฐบาลเจ๊ง เงินไม่พอ กว่าเราจะแก้ปัญหามาได้ถึงวันนี้เหนื่อยมาก
จนวันนี้ 30 บาทรักษาได้แล้ว ไม่ต้องรอรัฐบาลใหม่มาทำ รัฐบาลนี้ทำมาแล้ว ไม่ต้องไปดูป้ายหาเสียงพรรคไหน เพราะนั้นคืออนาคต พปชร.ทำมาแล้ว
ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ตั้งเป้าเปิดให้บริการรถขนส่งไฟฟ้า ภายในไทย 71 คัน
วันนี้ (20 มี.ค. 66) ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ผู้ให้บริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศชั้นนำของโลก ขยายจำนวนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ใช้ในการขนส่งในประเทศไทย โดยเพิ่มรถขนส่งพลังงานไฟฟ้าอีก 16 คัน ในการจัดส่งแบบลาสไมล์ นอกเหนือจากรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 50 คันที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน การขยายจำนวนการใช้งานรถ EV ในครั้งนี้ทำให้ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส เป็นผู้ให้บริการลอจิสติกส์รายแรกในประเทศไทยที่เปลี่ยนไปใช้รถ EV ในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ รถขนส่งพลังงานไฟฟ้านี้เริ่มทำการขนส่งสินค้าในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2566
โดยให้บริการในกรุงเทพ เขตพื้นที่ต่างๆ ได้แก่ สาทร, สีลม, ปทุมวัน, พระราม 3, ถนนสุขุมวิท, และถนนเพชรบุรีตัดใหม่ โดยดีเอชแอลมีแผนที่จะเพิ่มรถขนส่งพลังงานไฟฟ้าอีก 5 คันในเฟสถัดไป เพื่อใช้งานในเส้นทางภาคตะวันออก ซึ่งจะทำให้ดีเอชแอลมีรถ EV ที่ให้บริการทั้งหมดในประเทศไทยรวมจำนวน 71 คัน ภายในปี 2566 ทั้งนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนมาใช้รถ EV เป็นจำนวน 60% ของยานพาหนะทั้งหมดในประเทศไทย ภายในปี 2573
เฮอร์เบิร์ต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทย และหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า “ความยั่งยืนไม่ใช่เทรนด์ แต่เป็นภารกิจที่เราให้ความสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง และดีเอชแอลมีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ระดับโลก เราจำเป็นต้องผลักดันให้ทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมร่วมมือกันเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในการดำเนินงานด้านลอจิสติกส์ และเรากำลังเดินหน้าสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิให้เหลือศูนย์ ภายในปี 2593
โดยให้ความสำคัญกับการเป็นกรีนลอจิสติกส์ ด้วยการเปลี่ยนไปใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้า ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทย ตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งสิ้น 436 ตันต่อปี โดยรถขนส่งพลังงานไฟฟ้าชุดนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการนำเราไปสู่ลอจิสติกส์ที่ยั่งยืน และการสร้างอนาคตที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ทุกคน”
บิ๊กป้อม อ้อนคนเหนือ ขอให้เชื่อมั่นพปชร. เผยพร้อมแก้ไขปัญหาภาคเหนือ
เมื่อวานนี้ (19 มี.ค. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยบนเวทีอาคารยิมเนเชี่ยมสนามกีฬาสมโภช 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่ ว่า สวัสดีชาวเชียงใหม่ที่รักทุกคน รู้สึกอบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้มาอยู่ท่ามกลางพวกเราทุกคนที่นี่ จังหวัดเชียงใหม่มีการท่องเที่ยวที่ก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่ง ผมขอฝากพรรคพลังประชารัฐไว้กับพี่น้องทุกคนด้วย
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การมาพบปะพี่น้องชาวเชียงใหม่ครั้งนี้เพื่อต้องการให้ทุกคนมั่นใจว่า พรรคพร้อมทำงานรับใช้ชาวเชียงใหม่ทุกคน และขอให้ทุกคนเลือกผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐให้ครบทุกเขต เพราะเราได้คัดสรรคนดี คนเก่ง คนที่ตั้งใจจริงมาเป็นผู้แทนให้กับพี่น้องทุกคน โดยมุ่งมั่นที่จะทำงานแก้ไขปัญหาทุกๆ เรื่องให้เกิดเป็นประโยชน์กับชาวเชียงใหม่ เพื่อให้ทุกคนอยู่ดีกินดีขึ้น
"เรานำนโยบายที่เป็นประโยชน์มามอบให้กับทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาท ผมจะทำทันดี เมื่อได้เป็นรัฐบาลมาบริหารประเทศ รวมถึงการลดราคาพลังงาน ค่าไฟฟ้า ค่าแก๊ส ก็อยู่ในความคิดของพรรคพลังประชารัฐที่จะทำทันทีเช่นเดียวกัน การดูแลคนทุกช่วงวัยก็เช่นเดียวกันการ 345 678 เราจะดูแลผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป ส่วนแม่และเด็ก พรรคเราก็ไม่ทอดทิ้ง เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ และความไม่เป็นธรรมในสังคม" พล.อ.ประวิตร
การแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมน้ำแล้ง น้ำเสีย เป็นภารกิจที่สำคัญจะต้องทำเพื่อให้ทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดี ในการใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค และเพื่อการเกษตร โดยเฉพาะน้ำประปาจะต้องมีความสะอาด เป็นเรื่องที่ผมต้องดำเนินการให้ทุกคนได้ใช้น้ำอย่างมีคุณภาพ ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ก็เป็นภารกิจที่สำคัญที่เป็นปัญหาเรื้อรังของชาวภาคเหนือ เราจะลดปัญหานี้ทันที เมื่อเราได้เป็นรัฐบาล รวมไปถึงการปราบปรามขบวนการยาเสพติด เราจะป้องกันการระบาด และการฟื้นฟูผู้ที่ติดยาเสพติดได้กลับคืนสู่สังคมโดยเร็ว
ส่วนเรื่องการใช้ที่ดินของรัฐ ตนกำลังทำอยู่ โดยจะให้คนที่ถือที่ดิน ส.ป.ก. ที่ดินของรัฐ และในป่าสงวน เราพยายามให้ทุกคนมีโอกาสมาเป็นเจ้าของที่ดิน โดยการออกโฉนดให้ ฝากทุกคนว่าให้เลือก พปชร. ทุกอย่างที่ตนพูด เราจะทำให้ท่านทันที ส่วนปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมออนไลน์ ที่เป็นอันตรายต่อประเทศ ต้องแก้ปัญหาได้ทันที ซึ่งเราทำมาแล้วและจะทำต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ขณะที่เรื่องการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักของ จ.เชียงใหม่ ยืนยันว่าจะมาต่อยอด ดำเนินการให้ จ.เชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างแท้จริง
“การเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ขอให้ประชาชนให้โอกาส พปชร. พวกเราอาสาเข้ามานำความรัก สามัคคีมาสู่ประเทศชาติของเรา หมดเวลาแล้วที่คนไทยจะมาทะเลาะกันเอง ต้องจับมือกัน นำประเทศไปสู่ก้าวหน้า เพื่อความสงบของคนไทยทุกคน ฝากกับทุกคนว่า ถ้าอยากให้ประเทศมีความรัก สงบสุข สันติภาพเกิดขึ้น และมีความเป็นหนึ่งเดียวต้องเลือก พปชร. ฉะนั้น ตนฝากชาวเชียงใหม่ว่า ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพร้อมที่จะทำงานให้กับทุกคนในการแก้ปัญหาของทุกเรื่อง เพื่อความสงบสุข ความอยู่ดีกินดีของคนทุกระดับ” พล.อ.ประวิตร ทั้งนี้หลังการปราศรัย พล.อ.ประวิตร ได้เดินลงไปพบปะประชาชน โดยมีประชาชนมาหอมแก้ม กอด และขอถ่ายรูป คล้องมาลัย และให้กำลังใจ ขอให้เป็นนายกฯ คนที่ 30 และ ลุงป้อมสู้ๆ โดย พล.อ.ประวิตร ก็ทักทายประชาชนอย่างเป็นกันเอง
บิ๊กตู่ สั่งเข้ม เร่งช่วยเหลือปชช. เชียงใหม่ ที่ประสบภัยจากพายุฤดูร้อน
เมื่อเวลา 08.50 น. วันที่ 19 มี.ค. 2566 ที่เดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงเกิดเหตุพายุฤดูร้อนที่จังหวัด เชียงใหม่ ทำให้มีลูกเห็บตก เกิดความเสียหายจำนวนมากในพื้นที่ ว่า "ได้สั่งการไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ ให้หน่วยงานหลายกระทรวง ที่เกี่ยวข้อง เข้าไปดูแลให้ดีที่สุด"
#นอร์ทไทม์
หน่วยทหารลำปาง เร่งเข้าช่วยเหลือประชาชนประสบวาตภัยพายุลมร้อน
เมื่อวันที่ 17 มีค.2566 เวลา 13.00 น. พลตรี พรชัย นพรัตน์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 มอบหมายให้ พันเอกบรรจง คะวงศ์ดอน รองเสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 32/วิทยากรจิตอาสา 904 จัดกำลังพลจิตอาสา มณฑลทหารบกที่ 32, ชุดหมอเดินเท้า โรงพยาบาลค่ายสุรศักดิ์มนตรี, ชป.กร.มทบ.32 ร่วมกับ กอ.รมน.จว.ลป., ฝ่ายปกครองอำเภอห้างฉัตร, เทศบาลตำบลเมืองยาว และประชาชนจิตอาสา ร่วมเข้าให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จากวาตภัยพายุลมร้อน พื้นที่ตำบลเมืองยาว อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง พร้อมทั้งจัดถุงยังชีพ ยาสามัญประจำสามัญประจำบ้าน นำไปมอบให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ประสบภัย
อีกทั้ง จัดกำลังพลจิตอาสา ร.17/2 เข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบวาตภัย ในเขตพื้นที่ ตำบลเสริมซ้าย อำเภอเสริมงาม สร้างความรักความศรัทธาของหน่วยทหาร ที่มีความห่วงใย ต่อพี่น้องประชาชน ที่ประสบภัย ชาวจังหวัดลำปาง
#นอร์ทไทม์
โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านพลาสมาและเทคโนโลยีฟิวชัน ระหว่าง ปตท. และ สทน.
ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) (ซ้าย) และ ดร.หาญณรงค์ ฉ่ำทรัพย์ รองผู้อำนวยการ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทน.) (ขวา) ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านพลาสมาและเทคโนโลยีฟิวชัน ระหว่าง ปตท. และ สทน.
โดยมีผู้บริหารของทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นสักขีพยาน การผนึกกำลังของ ปตท. และ สทน. ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อร่วมมือกันในด้านการวิจัยและพัฒนาพลาสมา เทคโนโลยีฟิวชัน และห้องปฏิบัติการขั้นสูง
โดยมุ่งเน้นให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการวิจัยและพัฒนาด้านพลาสมาและเทคโนโลยีฟิวชันในอาเซียนภายในปี พ.ศ. 2570 รวมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในด้านงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ระหว่าง ปตท. และ สทน.
ทั้งนี้ ความร่วมมือในครั้งนี้ยังสอดรับกับเป้าหมายของกลุ่ม ปตท. ที่มุ่งมั่นแสวงหาเทคโนโลยีใหม่ที่มีศักยภาพในการบรรลุเป้าหมายการเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนในการพัฒนานวัตกรรมพลังงานยั่งยืน ที่พร้อมพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ชุมชนและสังคมต่อไป
พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อแสวงหาโอกาสในการเข้าสู่ธุรกิจ E-Truck และ E-Mobility ครบวงจร
นายเชิดชัย บุญชูช่วย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (กลาง) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อแสวงหาโอกาสในการเข้าสู่ธุรกิจ E-Truck และ E-Mobility ครบวงจร และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย
โดยมี นายเอกชัย ยิ้มสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (Arun Plus) (ที่ 2 จากซ้าย) Mr. Da Rui (ดา รุย) Managing Director Southeast Asia, SANY Heavy Industry (Thailand) Co., Ltd. (SANY) (ที่ 2 จากขวา) คุณ ฉกาจ แสนจัน Chief Executive Officer, Leadway Heavy Machinery Co., Ltd. (Leadway) (ซ้ายสุด) และ Mr. Ho Howe Tian (โฮ ฮาว เทียน) Managing Director ASEAN, Rootcloud Technology Co., Ltd. (Rootcloud) (ขวาสุด) ร่วมลงนาม
ความร่วมมือครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมสำหรับการผลิต ช่องทางการขาย และการจัดจำหน่าย E-Truck และเทคโนโลยี E-Mobility ในไทยและภูมิภาคอาเซียน สอดคล้องกับแผนการลงทุนในธุรกิจโลจิสติกส์ตามทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และกลยุทธ์ New S-Curve ของ ปตท. ในกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน
ที่มุ่งเน้นการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายขนส่งทั้งหมดของประเทศไทยและระบบขนส่งเชื่อมต่อระหว่างประเทศ อาทิ การขนส่งสินค้าทางราง ทางทะเล ทางบก และทางอากาศ E-Truck และ E-Mobility
จึงมีส่วนสำคัญยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจโลจิสติกส์ ช่วยขับเคลื่อนระบบการขนส่งของไทยไปสู่การเป็นผู้ให้บริการแบบครบวงจรต่อไป