Friday, 29 March 2024
ECONBIZ

กระจายความเจริญ!! ‘บิ๊กป้อม’ เร่งผลักดัน ‘Smart Cities’ เมืองอัจฉริยะอาเซียน ขยายเพิ่ม 'เชียงใหม่, ขอนแก่น, ฉะเชิงเทรา, ระยอง'

พล.อ.ประวิตร ประชุมเร่งผลักดัน 'Smart Cities' พัฒนาเมืองให้น่าอยู่ ปลอดภัย มีมติพิจารณา ‘เชียงใหม่, ขอนแก่น, ฉะเชิงเทรา, ระยอง’ เป็นเมืองอัจฉริยะอาเซียน เพิ่มศักยภาพการลงทุน ตามนโยบายรัฐบาล

(9 พ.ย. 65) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ครั้งที่ 1/2565 ณ ห้องประชุม มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

ที่ประชุมได้รับทราบ รายงานความคืบหน้าการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ประจำปี 65 ซึ่งเมื่อ 5 ส.ค. 65 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ ได้มีมติให้ประกาศมอบตราสัญลักษณ์ เพื่อรับรองการเป็นพื้นที่พัฒนาเมืองอัจฉริยะ ประจำปี 65 จำนวน 15 เมือง ใน 14 จังหวัด 
 

เทรนด์นี้กำลังมา!! 'NRPT' ดึง 'Wicked Kitchen' แพลนต์เบสดังระดับโลก รับโปรตีนจากพืชมาแรง ขายแล้วเฉพาะที่ 'ท็อปส์'

ครั้งแรกในเอเชีย 'NRPT' ดึง 'Wicked Kitchen' แพลนต์เบสชื่อดังอังกฤษ เปิดตัวในไทย พร้อมจำหน่ายเฉพาะที่ 'ท็อปส์' / 'ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์' และท็อปส์ ออนไลน์

'NRPT' ผู้พัฒนาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืช หรือ แพลนต์เบส ดึงสตาร์ตอัปแบรนด์อาหารโปรตีนจากพืชชื่อดังจากอังกฤษ พร้อมจับมือ 'ท็อปส์' เบอร์ 1 ฟู้ดรีเทลของไทย เปิดตัว 'Wicked Kitchen' แบรนด์อาหารแพลนต์เบสชื่อดังระดับโลกจากอังกฤษ จำหน่ายผลิตภัณฑ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟครั้งแรกในประเทศเฉพาะร้านท็อปส์ (Tops) และ ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์ (Tops Food Hall) 50 สาขา ทั่วประเทศ และท็อปส์ ออนไลน์ พร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ทั้งหมด 17 รายการ ได้แก่ สินค้ากลุ่ม Frozen Ready meals และของหวาน ที่พร้อมวางจำหน่ายในช่วงแรกของการเปิดตัว ส่วนกลุ่ม Frozen pizza และไอศกรีม จะพร้อมวางจำหน่ายในช่วงต้นเดือนธันวาคม โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสินค้าเป็น 30 รายการ ในช่วงต้นปีหน้า เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ มุ่งเป็นโมเดลต้นแบบการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฟู้ด เซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า 'ท็อปส์' ในฐานะผู้นำฟู้ด รีเทลเมืองไทย เราให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกวันตามแนวคิด 'Every Day DISCOVERY' พร้อมตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกช่วงเวลาจากพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันพบว่า ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ลดการบริโภคเนื้อสัตว์และหันมาเลือกรับประทานเนื้อจากพืชซึ่งดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้สินค้ากลุ่มแพลนต์เบสในไทยเติบโต 

ขณะเดียวกันในกลุ่มลูกค้าท็อปส์พบว่า มีความนิยมซื้อสินค้าแพลนต์เบสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากท็อปส์มีสินค้ากลุ่มแพลนต์เบสที่หลากหลาย มีรสชาติที่อร่อย ทำให้ผู้บริโภครับประทานได้ง่าย จากผลตอบรับที่ดีดังกล่าวทำให้ท็อปส์เล็งเห็นการเติบโตของเทรนด์ความต้องการสินค้าแพลนต์เบส เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงด้านการคัดสรรสินค้าคุณภาพจากแหล่งผลิตที่ดีที่สุดทั่วโลก เราจึงนำสินค้าชื่อดังจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า 

ล่าสุดได้ร่วมกับ บริษัท เอ็นอาร์พีที ผู้นำทางด้านนวัตกรรมอาหารแพลนต์เบสและอาหารแห่งอนาคต ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง อินโนบิก (เอเซีย) และ เอ็นอาร์เอฟ เปิดตัว Wicked Kitchen แบรนด์อาหารแพลนต์เบส 100% ระดับโลกจากประเทศอังกฤษจำหน่ายครั้งแรกในประเทศไทย เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะ ร้าน Tops และ Tops Food Hall  50 สาขาทั่วประเทศ และ ช่องทางท็อปส์ออนไลน์ ทำให้ลูกค้าท็อปส์จะได้เลือกซื้อสินค้าแพลนต์เบสไอเทมใหม่ที่หลากหลาย เป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในการรับประทานอาหารแพลนต์เบส ตลอดจนเป็นการขยายฐานลูกค้าซึ่งจะทำให้ตลาดสินค้ากลุ่มแพลนต์เบสในประเทศไทยเติบโตเพิ่มมากขึ้น
 

PTT - OR - TOYOTA - BIG ผนึกกำลังดัน Future Energy ผุดต้นแบบสถานีเติมไฮโดรเจนแห่งแรกในไทย

4 ยักษ์ใหญ่ 'PTT – OR – TOYOTA – BIG' ผนึกกำลังเสริมแกร่ง Future Energy เปิดสถานีต้นแบบเติมไฮโดรเจนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงแห่งแรกของประเทศไทย จับมือเดินหน้าสู่ผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด พร้อมรองรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) อนาคตใหม่ของการเดินทางเติมเต็มความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศยานยนต์แห่งอนาคต 

มอบประสบการณ์การเดินทางรูปแบบใหม่ ด้วยรถยนต์ โตโยต้า มิไร (Toyota Mirai) รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน ในรูปแบบรถรับส่งระหว่างสนามบินอู่ตะเภา จ.ชลบุรี (U-Tapao Limousines) ให้บริการนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจในพื้นที่พัทยา - ชลบุรี ตอบรับแผนภาครัฐ สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) เพื่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย

(8 พ.ย.65) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) นายวิศาล ชวลิตานนท์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (BIG) นายปาซานา กาเนซ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (TDEM) และ นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (TMT) ร่วมเปิดสถานีนำร่องทดลองใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle: FCEV) แห่งแรกของประเทศไทย (Hydrogen Station) ณ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยการนำรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง รุ่นมิไร (Mirai) ของโตโยต้า มาเพื่อทดสอบการใช้งานในประเทศไทย ให้บริการในรูปแบบรถรับส่งระหว่างสนามบินอู่ตะเภา จ.ชลบุรี (U-Tapao Limousines) สำหรับนักท่องเที่ยวและผู้โดยสารในพื้นที่พัทยา - ชลบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง โดยจะทำการเก็บข้อมูลเชิงเทคนิคที่ได้จากการใช้งานจริง เพื่อสร้างการรับรู้และเป็นข้อมูลรองรับการขยายผลใช้งานในอนาคต

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ตระหนักถึงความสำคัญเร่งด่วนของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก จึงมุ่งผลักดันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างความร่วมมือกับภาคีต่างๆ เพื่อร่วมกันผลักดันประเทศไทยมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว ทั้งนี้ ปตท. เล็งเห็นว่าการลงทุนด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอย่างไฮโดรเจน ซึ่งเป็นพลังงานที่มีศักยภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามการนำไฮโดรเจนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับประเทศไทยที่จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และการลงทุนมูลค่าสูง ความร่วมมือของ 5 พันธมิตรชั้นนำในกลุ่มพลังงานและยานยนต์ครั้งนี้ จึงเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ทั้งในด้านมาตรฐานระดับสากล และความปลอดภัยสูงสุดที่จะส่งมอบให้กับผู้ใช้บริการในอนาคต โดย ปตท. ได้ร่วมสนับสนุนการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานของระบบอัดบรรจุก๊าซไฮโดรเจน และข้อมูลเชิงเทคนิคที่จำเป็น ร่วมผลักดันการใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาด เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปด้วยกันในทุกมิติอย่างสมดุลและยั่งยืน
 

ปตท. ผนึก ไออาร์พีซี ร่วมพัฒนา 4 กลุ่มธุรกิจ เสริมแกร่งธุรกิจใหม่ที่ไปไกลกว่าพลังงาน

ปตท. ผนึก ไออาร์พีซี ดันการลงทุนและพัฒนาธุรกิจ Advanced Business Integration มุ่งเพิ่มสัดส่วนรายได้ธุรกิจใหม่

เมื่อวันที่ (7 พ.ย. 65) นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ยืนกลาง) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อศึกษาการลงทุนตามกลยุทธ์ Advanced Business Integration (ABI) ระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) โดยนายประสงค์ อินทรหนองไผ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ที่ 2 จากซ้าย) และนายกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (ที่ 2 จากขวา) พร้อมด้วย นายจตุรงค์ วรวิทย์สุรวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่แผนกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ซ้าย) และนายสมเกียรติ เลิศฤทธิ์ภูวดล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (ขวา) ร่วมเป็นสักขีพยาน

ททท.จับมือพันธมิตรรุกตลาดอเมริกา นำเอเย่นต์จาก 25 มลรัฐ เจรจาธุรกิจที่เชียงใหม่ 

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับสายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ และโคเรียนแอร์ จัดกิจกรรม 25 States 25 Agents Networking Event in Chiang Mai นำผู้ประกอบการนำเที่ยวชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา จำนวน 25 ราย จาก 25 มลรัฐ ร่วมสำรวจสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว และร่วมงานเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2565 ณ โรงแรมรติล้านนา ริเวอร์ไซต์ สปา รีสอร์ต เชียงใหม่ เพื่อขยายฐานตลาดและดึงนักท่องเที่ยวกลุ่ม First Visit เข้ามาท่องเที่ยวยังจังหวัดเชียงใหม่เพิ่มมากขึ้น

ในปัจจุบัน การเดินทางจากสหรัฐอเมริกาเข้าประเทศไทย มีการเดินทางมาจากเมืองหลักเพียง 9 – 10 แห่งทั่วประเทศ ดังนั้น การขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เพื่อให้สามารถเข้าถึงมลรัฐและเมืองอื่น ๆ ที่มิใช่แค่เมืองหลักเพียงอย่างเดียวจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะการขยายฐานกลุ่มนักท่องเที่ยว First Visit ซึ่งส่วนใหญ่มั่นใจในการเดินทางผ่านบริการของสายการบินสัญชาติอเมริกัน 

ด้วยเหตุนี้ ททท. ภูมิภาคอเมริกา จึงร่วมกับสายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ และโคเรียนแอร์ (Co-share) ซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมทุกมลรัฐ นำคณะผู้ประกอบการนำเที่ยวจากทุกมลรัฐในสหรัฐอเมริกา จำนวน 50 ราย พร้อมผู้แทนสายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ และโคเรียนแอร์ เดินทางสำรวจสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 2 – 9 พฤศจิกายน 2565 เส้นทางกรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ และภูเก็ต หลังจากนั้น จะจัดกิจกรรมเจรจาธุรกิจร่วมกับเอกชนไทย ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2565 ที่ภูเก็ตและเชียงใหม่จำนวน 25 ราย/เมือง เพื่อนำเสนอขายสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว อันจะนำไปสู่การเสนอขายแพกเกจท่องเที่ยวในโอกาสต่อไป

นายพิชยา สายแสงจันทร์ ผู้อำนวยการกองตลาดอเมริกา กล่าวว่า เนื่องในโอกาสที่คณะผู้ประกอบการนำเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา เดินทางมาสำรวจสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยสายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ และโคเรียนแอร์ (Co-share) ที่มีบริการเส้นทางบินครอบคลุม 50 มลรัฐ สามารถสร้าง Accessibility ในการเพิ่มช่องทางที่หลากหลายให้นักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกาสามารถเดินทางมายังประเทศไทยได้ง่ายมากขึ้นผ่าน 17 Gateway ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายฐานลูกค้าจากพื้นที่ใหม่ ๆ ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยวระยะไกลจากสหรัฐอเมริกานับเป็นกำลังสำคัญที่จะส่งเสริมการฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย เนื่องจากเป็นตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีอัตราการใช้จ่ายในระหว่างการเดินทางมูลค่าสูงกว่านักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น 

โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 25 กันยายน 2565 มีนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอเมริกาเดินทางเข้ามาแล้ว 294,963 คน โดยมีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริป 72,926 บาท และระยะเวลาพำนัก 14 วัน สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยว 21,500 ล้านบาท ซึ่งการร่วมมือกันกับสายการบินยักษ์ใหญ่ทั้งสองสายการบินในครั้งนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้การเดินทางมาประเทศไทยสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

องค์กรแห่งนวัตกรรม SET ยก ปตท. สุดยอดองค์กรนวัตกรรม 'ยั่งยืน-ยอดเยี่ยม' เคลื่อนธุรกิจเติมคุณภาพชีวิตคนไทยอย่างต่อเนื่อง .

ปตท.คว้ารางวัลสูงสุดด้านความยั่งยืน และรางวัลยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรมต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากเวที SET Awards 2022

เมื่อ 28 ต.ค. 65 นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับรางวัล SET Awards ประจำปี 2565 ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร รวม 2 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน (Sustainability Awards of Honor) และ รางวัลบริษัทยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรม (Best Innovative Company Awards) สะท้อนความมุ่งมั่นของ ปตท.ที่ขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างต่อเนื่อง

รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน หรือ Sustainability Awards of Honor เป็นรางวัลสูงสุด โดย ปตท.ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากการปรับแผนการลงทุนสู่ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน ครอบคลุมธุรกิจเกี่ยวเนื่องในระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมถึงการพัฒนาธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด นอกจากนี้ ปตท.ยังได้ประกาศเจตนารมณ์มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี ค.ศ. 2040 และเป้าหมาย Net Zero Emissions ในปี ค.ศ. 2050 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยที่กำหนดไว้ในปี ค.ศ. 2065 และแสดงออกถึงการปฏิบัติจริงเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ทิศทางความยั่งยืน 

อนึ่ง รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน เป็นรางวัลที่มอบแก่องค์กรที่เคยได้รับรางวัล Best Sustainability Awards ติดต่อกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป แสดงถึงความสามารถขององค์กรในการรักษาความโดดเด่นและยอดเยี่ยมด้านความยั่งยืน

เปิดผลการศึกษาขนส่งมวลชนรถไฟฟ้าเชียงใหม่

รฟม.จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดเชียงใหม่ เน้นย้ำโครงการต้องเป็นไปได้และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนเป็นสำคัญ

การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อผลการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการดำเนินโครงการที่เหมาะสม สำหรับโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดเชียงใหม่ สายสีแดง (โรงพยาบาลนครพิงค์ – แยกแม่เหียะสมานสามัคคี)

วานนี้ (31 ต.ค.65 ) นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ต่อผลการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการดำเนินงานโครงการที่เหมาะสมสำหรับ โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดเชียงใหม่ สายสีแดง (โรงพยาบาลนครพิงค์ – แยกแม่เหียะสมานสามัคคี) ณ ห้องแกรนด์วิว 3 โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายสาโรจน์ ต.สุวรรณ รองผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเป็นผู้ชี้แจงรายงานความเป็นมาของโครงการฯ และมีผู้แทนหน่วยงานจากภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมประชุมทั้งออนไซด์และออนไลน์ผ่านระบบ video conference

นายสาโรจน์ ต.สุวรรณ รองผู้ว่าการฯ ชี้แจงว่า สืบเนื่องจากการศึกษาดำเนินโครงการฯ เดิมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 พบว่าโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนจังหวัดเชียงใหม่ ระบบรางบนดินและใต้ดินมีผลการประเมินด้านมูลค่าการลงทุนและการบำรุงรักษาค่อนข้างสูง รวมไปถึงผลกระทบที่อาจผลต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ดังนั้นการประชุมในวันนี้จึงเป็นการนำเสนอทางเลือกรูปแบบแนวทางของโครงการฯ ที่ใช้การจราจรบนทางเป็นหลัก เพื่อให้ได้รูปแบบระบบรถไฟฟ้าที่เหมาะสมต่อสภาพพื้นที่ของเขตเมืองเชียงใหม่ อีกทั้งเพื่อให้การดำเนินโครงการสามารถเป็นไปได้และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนชาวเชียงใหม่

โดยเบื้องต้นคณะผู้ศึกษาได้มีการพิจารณาเปรียบเทียบรูปแบบการดำเนินโครงการ ทั้งในด้านของวิศวกรรมและจราจร การลงทุนหรือผลตอบแทน รวมถึงด้านของสิ่งแวดล้อม ใน 4 รูปแบบ ทั้งระบบล้อเหล็กรางคู่ ล้อยางรางเดี่ยว ล้อยางรางเสมือน และใช้รถไฟฟ้าล้อยางลักษณะคล้ายรถเมล์ ซึ่งพบว่ารูปแบบของรถไฟฟ้าล้อยาง เป็นรูปแบบที่มีความเหมาะสมในการพัฒนาโครงการฯ เพราะนอกจากจะสามารถลดต้นทุนโครงการได้แล้ว ยังสามารถบรรเทาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการเวนคืนที่ดิน และสามารถย่นระยะเวลาการก่อสร้างได้อีกด้วย

ในโอกาสนี้ ที่ประชุมได้เปิดให้มีการเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากประชาชนที่เข้าร่วม ถึงประเด็นข้อห่วงใยต่าง ๆ ทั้งผลกระทบทางด้านการจราจรในห้วงระยะเวลาระหว่างการดำเนินก่อสร้างโครงการฯ ตลอดจนข้อซักถามถึงจำนวน ผู้ที่จะมาใช้บริการ อันจะส่งผลต่อความคุ้มค่าของผลตอบแทนอีกด้วย ทั้งนี้คณะที่ปรึกษาและศึกษาระบบได้มีการตอบคำถามในประเด็นข้อคิดเห็นของประชาชนต่าง ๆ และเน้นย้ำว่าจะนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้ไปพิจารณาและปรับปรุงผลการศึกษาออกแบบโครงการต่อไป


ที่มา : https://www.chiangmainews.co.th/topstories/2783346/

‘สุริยะ’ แนะคนไทย ‘ลอยกระทง’ ด้วยวัสดุธรรมชาติ รักษ์สิ่งแวดล้อม แถมช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชน

กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมสืบสานวัฒนธรรมประเพณีลอยกระทง ชวนคนไทยใช้กระทงจากวัสดุธรรมชาติ และปล่อยโคมลอยได้มาตรฐาน มผช. ร่วมรักษาสิ่งแวดล้อม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และกระจายรายได้สู่ชุมชน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลลอยกระทง

ที่จะมาถึงนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมขอเชิญชวนคนไทยเลือกใช้กระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น กระทงเปลือกข้าวโพด และกะลามะพร้าวที่ได้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนต่าง ๆ ของไทยเพื่อร่วมกันอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยให้คงอยู่ ซึ่งนอกจากจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมตามนโยบาย BCG Model ที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าแล้ว ยังเป็นการอุดหนุนสินค้าของคนไทย ช่วยกระจายรายได้ และกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจระดับชุมชนอีกด้วย

“กระทงจากเปลือกข้าวโพด และกระทงจากกะลามะพร้าว เป็นสินค้าชุมชนที่ผลิตโดยผู้ผลิตชุมชน และ

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนต่าง ๆ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน หรือ มผช. จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เป็นสินค้าที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม มีความประณีต สวยงาม ไม่มีกลิ่นของสารเคมีสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และนอกจากจะแนะนำให้ใช้กระทงจากวัสดุธรรมชาติในเทศกาลลอยกระทงแล้ว ผมขอแนะนำให้ปล่อยโคมลอยที่ได้มาตรฐาน มผช. ด้วย เพราะโคมลอยที่ได้มาตรฐาน ตัวโคมจะใช้วัสดุจากธรรมชาติ มีปริมาณเชื้อเพลิง ไม่เกิน 55 กรัม ใช้เวลาในการเผาไหม้ ไม่เกิน 8 นาที ซึ่งเหมาะสมกับระยะเวลาที่โคมลอยอยู่ในอากาศ และเมื่อตกลงมาสู่พื้นก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ รวมทั้งให้ยึดถือปฏิบัติตามประกาศมาตรการป้องกันและการรักษาความปลอดภัยของส่วนราชการในพื้นที่อย่างเคร่งครัด โดยจะควบคุมการปล่อยโคมลอยในพื้นที่เฝ้าระวังโดยเฉพาะพื้นที่ใกล้สนามบิน เพื่อไมให้โคมลอยเข้าไปติดในเครื่องบิน หรือลอยเข้าไปตกตามชุมชน ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรมห่วงใยชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ไม่อยากให้เกิดความเสียหายในเทศกาลแห่งความสุขนี้” นายสุริยะฯ กล่าว

นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบัน

มีผู้ผลิตกระทงเปลือกข้าวโพดที่ได้มาตรฐาน มผช. อยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 4 ราย ได้แก่ 1) กลุ่มกระทงทรงธรรม 2) กลุ่มกระทงเปลือกข้าวโพดบ้านลานดอกไม้ 3) นางเตือนคนึง ราชา และ 1) นางวิรัตน์ ทวนธง และมีผู้ผลิตกระทงจากกะลามะพร้าวที่ได้มาตรฐาน มผช. จำนวน 40 ราย 

“สำหรับผู้ผลิตโคมลอยที่ได้มาตรฐาน มผช. มีจำนวน 3 ราย ได้แก่ นางอัมพร จันทร์ถา นายจำลอง จันทร์ถา และนายยุทธภูมิ จันทร์ถา ซึ่งทั้ง 3 ราย เป็นผู้ผลิตโคมลอยในจังหวัดเชียงใหม่ สมอ. จึงขอเชิญชวนประชาชนคนไทยร่วมกันสนับสนุนสินค้าไทย เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชน สร้างความยั่งยืนให้กับสินค้าชุมชนของไทย โดยสามารถเลือกซื้อกระทงและโคมลอยที่ได้มาตรฐาน มผช. ได้ตามรายละเอียดที่สมอ. แจ้งไว้บนเว็บไซต์ หรือจะสั่งซื้อผ่านทางแอปพลิเคชันช็อปปิ้งออนไลน์ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ก็ได้" เลขาธิการ สมอ. กล่าว

เลขาธิการ สมอ. กล่าวอีกว่า สำหรับการดำเนินงานด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน สมอ. ได้กำหนดมาตรฐานแล้วทั้งสิ้น 1,392มาตรฐาน มีผู้ผลิตชุมชนได้รับการรับรองรวม 11,751 ราย แบ่งเป็น 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ อาหาร 1,457 รายเครื่องดื่ม 220 ราย ผ้าและเครื่องแต่งกาย 4,003 ราย สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร 811 ราย และของใช้ ของตกแต่งของที่ระลึก 5,260 ราย สามารถดูรายชื่อผู้ผลิตชุมชนที่ได้รับการรับรองได้ที่ https//cps.tisi.go.th/public/certificatestandard.aspx   

ทั้งนี้ หากผู้ผลิตชุมชนต้องการยื่นขอการรับรองมาตรฐาน มผช. สามารถยื่นขอได้ที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

อัปเดตราคา ‘หมู-เนื้อ-ไก่’

อัปเดตราคาอาหารสดวันนี้ มาดูกันว่าตามท้องตลาด ราคาอาหารสด ประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2565 จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็น ราคาหมู ราคาไก่ ราคาไข่ไก่ รวมไปถึงราคาผักสด เช็กกันเลย..

อัปเดตราคา 'หมู - ไก่ - เนื้อ' ประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2565

อัปเดตราคาอาหารสดวันนี้ มาดูกันว่าตามท้องตลาด ราคาอาหารสด ประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2565 จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็น ราคาหมู ราคาไก่ ราคาไข่ไก่ รวมไปถึงราคาผักสด เช็กกันเลย...

อัปเดตราคา 'หมู - ไก่ - เนื้อ' ประจำวันที่ 29 ตุลาคม 2565

อัปเดตราคาอาหารสดวันนี้ มาดูกันว่าตามท้องตลาด ราคาอาหารสด ประจำวันที่ 29 ตุลาคม 2565 จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็น ราคาหมู ราคาไก่ ราคาไข่ไก่ รวมไปถึงราคาผักสด เช็กกันเลย..

อัปเดตราคา 'หมู-เนื้อ-ไก่'

อัปเดตราคาอาหารสดวันนี้ มาดูกันว่าตามท้องตลาด ราคาอาหารสด ประจำวันที่ 28 ตุลาคม 2565 จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็น ราคาหมู ราคาไก่ ราคาไข่ไก่ รวมไปถึงราคาผักสด เช็กกันเลย..

INFLUENCER TRIP BY PTT ก้าวผ่าน…สู่อนาคต

#บทพิสูจน์ความตั้งใจในการขยายระบบนิเวศEV
#ขับเคลื่อนทุกวิถีชีวิตด้วยพลังงานแห่งอนาคต

ถือเป็นอีกภารกิจใหญ่ของ ปตท. ในการเป็นอีกส่วนสำคัญเพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศ ด้วยการก้าวสู่เส้นทางธุรกิจแห่งอนาคตอย่าง ธุรกิจด้านพลังงานทางเลือกใหม่ เพื่อแก้ปัญหามลภาวะ และให้ความสำคัญกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) โดยล่าสุดได้มีการตอกย้ำความชัดเจนนี้อีกครั้ง ผ่านงาน INFLUENCER TRIP BY PTT ก้าวผ่าน…สู่อนาคต ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2565 ณ ปตท. สำนักงานใหญ่ ซึ่งงานนี้พร้อมเพรียงไปด้วยเหล่าบรรดา INFLUENCER มากมาย พร้อมบรรดาสื่อหลากแขนง ที่มารวมตัวพบปะภายในงาน เพื่อพูดคุยและนำพาสังคมไทยก้าวผ่านไปสู่อนาคตอันยิ่งใหญ่

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา กลุ่ม ปตท. ให้ความสำคัญกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) อย่างมาก จึงเน้นให้มีการดำเนินธุรกิจด้วยการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ตามเทรนด์หลักที่สำคัญของโลก 2 ด้าน คือ Go Green และ Go Electic ภายใต้วิสัยทัศน์ 'Poweiing Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคต' 

โดยมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร รวมถึงต่อยอดนวัตกรรมและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน

ทั้งนี้ หากหันมามองด้านธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังได้รับความสนใจในระดับสากลนั้น กลุ่ม ปตท. เล็งเห็นแนวโน้มการใช้งานที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศและภูมิภาค จึงมุ่งวางรากฐานขยายธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร (EV Value Chain) ให้ครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์ให้กับประเทศไทย รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐาน และการให้บริการแบบครบวงจรของยานยนต์ไฟฟ้า สนับสนุนให้คนไทยใช้พลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) ในปี 2065

นั่นจึงทำให้ ปตท. จัดตั้ง บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ขึ้น เพื่อรองรับการขยายฐานธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนา EV Ecosystem ทั้งของ ปตท. และของประเทศไทยให้ครบวงจร อีกทั้งทำหน้าที่ประสานการลงทุนกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึงร่วมลงทุนกับพันธมิตรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ อันจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการใช้ EV อย่างแพร่หลายในประเทศไทย พร้อมทั้งขับเคลื่อนไทยให้เป็นฐานการผลิต EV

ขณะที่ บริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (HORIZON PLUS) บริษัทร่วมทุนระหว่าง อรุณ พลัส และ บริษัท หลินยิ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสเมนท์ (Foxconn Technology Group) ที่ได้มีการจดทะเบียนก่อตั้งบริษัท JV ARUN PLUS ถือหุ้น 60% Foxconn 40% เกิดขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและประกอบรถยนต์ครบวงจรรูปแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยี MIH Platform หรือ Open EV Platforn ซึ่งเป็นโครงช่วงล่างของตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งให้เข้ากับรถยนต์ได้หลายประเภท สามารถช่วยแบรนด์รถยนต์ลดค่าใช้จ่าย, ลดระยะเวลาในการพัฒนา และผลิตรถยนต์แต่ละรุ่นออกมาในราคาที่จับต้องได้ ซึ่งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ HORIZON PLUS นี้ จะตั้งบนพื้นที่ 313 ไร่ ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ อำเภอหนองใหญ่ จังหวัด ชลบุรี เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) (คาดว่าแล้วเสร็จในปี 2024) เฟสแรกจะดำเนินการด้วยงบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการก่อสร้างโรงงานคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมผลิต EV สู่ตลาดภายในปี 2567 ในระยะแรกมีกำลังการผลิตที่ 50,000 คัน

อัปเดตราคา 'หมู-เนื้อ-ไก่'

อัปเดตราคาอาหารสดวันนี้ มาดูกันว่าตามท้องตลาด ราคาอาหารสด ประจำวันที่ 27 ตุลาคม 2565 จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็น ราคาหมู ราคาไก่ ราคาไข่ไก่ รวมไปถึงราคาผักสด เช็กกันเลย..

ทำไมไทยต้องนำเข้าน้ำมัน? ทั้งที่ผลิตน้ำมันได้

รู้ไหม? ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ผลิตน้ำมัน แล้วไม่พอต่อการใช้งานของคนในประเทศ

ราคาน้ำมันที่มีการผันผวนตลอดเวลา ไม่ว่าจะเนื่องด้วยเหตุผลใดก็ตาม ย่อมส่งผลต่อความไม่พอใจของประชาชนมาตลอด และเมื่อไม่พึงพอใจก็จะเกิดการเปรียบเทียบ ในวิกฤติราคาน้ำมันทุก ๆ ครั้ง ดังที่จะเห็นจนคุ้นตา คือการที่มักมีบางกลุ่ม เปรียบเทียบราคาพลังงานไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะมาเลเซีย

เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีกรณีผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ที่ลงทุนเดินทางไปถึงมาเลเซียเพื่อเติมน้ำมันที่นั่น ก่อนจะเปรียบเทียบราคาน้ำมันของไทยกับมาเลเซียลงสื่อโซเชียล ส่งผลให้รัฐบาลมาเลเซียสั่งการให้มีการตรวจสอบผู้มาขอรับบริการว่าเป็นพลเมืองมาเลเซียหรือไม่ เนื่องจากราคาน้ำมันของมาเลเซีย ได้รับการชดเชยราคาโดยตรงด้วยภาษีของคนมาเลเซีย

แต่หากมองย้อนกลับไปที่ประเทศลาว จะเห็นว่าประเทศลาวนั้น มีราคาน้ำมันที่สูงกว่าไทยตลอด เนื่องจากว่าลาวนั้น ไม่มีแหล่งเชื้อเพลิงของตนเอง ราคาน้ำมันในลาว จึงเป็นราคาที่เพิ่มค่าใช้จ่ายในการขนส่งจากประเทศไทยเข้าไปร่วมด้วย เป็นสาเหตุให้มีราคาที่สูงกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง

นั่นทำให้คนลาวบางส่วน เข้ามาเติมน้ำมันในประเทศไทย และประเทศไทยก็สั่งห้ามเช่นเดียวกับมาเลเซีย

หันกลับมาพิจารณาถึงที่มาของราคาน้ำมัน ประเทศที่มีความสามารถในการขุดเจาะน้ำมันได้เอง และกลั่นน้ำมันได้เอง จะมีราคาน้ำมันสำหรับการใช้ในประเทศที่มีราคาถูกลงมากกว่าประเทศที่ต้องนำเข้าพลังงานทั้งหมด

แต่จะถูกมากน้อยเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่า ประเทศนั้น ๆ มีปริมาณน้ำมันสำรอง และกำลังการผลิตมากเพียงพอที่จะตอบสนองของคนทั้งประเทศหรือไม่

จากข้อมูลของ Worldometer ระบุว่า ใน พ.ศ. 2559 มาเลเซียมีปริมาณน้ำมันสำรอง 3,600,000,000 บาร์เรล มากเป็นอันดับที่ 28 ของโลก ในขณะที่ประเทศไทยมีเพียง 404,890,000 บาร์เรล อยู่อันดับที่ 50 อีกทั้งมีปริมาณน้อยกว่ามาเลเซียถึง 8.9 เท่า

นอกจากนี้ กำลังการผลิตของมาเลเซียนั้น เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ สำหรับประชากรเพียงแค่ 32 ล้านคน มีน้ำมันเหลือใช้มากถึงวันละ 54,168 บาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ไทย ทั้ง ๆ ที่ผลิตได้น้อยกว่า แต่กลับมีอัตราการบริโภคที่สูงกว่า จนทำให้กำลังการผลิตต่อวัน น้อยกว่าอัตราการบริโภคมากถึง 770,671 บาร์เรลต่อวันเลยทีเดียว

แต่ถึงแม้มาเลเซียจะมีกำลังการผลิตน้ำมันที่ล้นเหลือ แต่มาเลเซียก็ยังมีการนำเข้าน้ำมันมากถึง 197,489 บาร์เรลต่อวัน และส่งออกน้ำมัน 390,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ราคาน้ำมันในมาเลเซียเองก็ผันผวนตามราคาน้ำมันของโลกด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ส่งผลกระทบมากเท่ากับประเทศไทยนั่นเอง

จากรายงานของ Worldometer ระบุว่า มาเลเซียมีน้ำมันสำรอง 0.2% เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำมันสำรองของโลก (1,650,585,140,000 บาร์เรล อ้างอิงข้อมูล พ.ศ. 2559) ในขณะที่ประเทศไทย มีปริมาณน้ำมันสำรองเพียง 0.02345% เพียงเท่านั้น

การที่จะนำประเทศไทยไปเปรียบเทียบกับมาเลเซีย ในเรื่องราคาน้ำมัน และความพยายามที่จะผลักดันให้ประเทศไทย ดำเนินนโยบายราคาน้ำมันแบบมาเลเซียนั้น จึงไม่ต่างอะไรกับการขี่ช้างจับตั๊กแตนเลย

การดำเนินนโยบายการบริหารราคาและกำลังการผลิตน้ำมันของประเทศอย่างเหมาะสม เป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าการกดราคาน้ำมันเพียงอย่างเดียว


© Copyright 2022, All rights reserved. North Time Thailand
Take Me Top