Wednesday, 31 May 2023
NEWSFEED

"จิ๊บ ศศิกานต์" ชี้ ฝีมือ"ลุงตู่" พาชาติพ้นวิกฤต

จากกรณีที่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 การจัดกิจกรรมด้านต่าง ๆ นั้นจะทำให้เกิดเงินสะพัดในช่วงสงกรานต์ อยู่ที่ประมาณ 125,203 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับ ช่วงปี 2559 ถือว่าใกล้เคียงกันมาก ทำให้มองได้ว่าเศรษฐกิจนั้นเริ่มกลับมาดีเหมือนเดิมแล้วนั้น

 

ล่าสุด นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ ผู้สมัครส.ส.กทม. เขต 30 บางแค ภาษีเจริญเบอร์ 7 จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวนั้นเป็นเครื่องชี้วัดที่สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เศรษฐกิจของไทยได้ฟื้นตัวแล้ว แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 

ในภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤต ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่องกันตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อเนื่องมายังการสู้รบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจของทั้งโลก วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ คนตกงาน อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ซึ่งทุกประเทศก็ได้รับผลกระทบนี้เหมือน ๆ กัน แต่ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลของประเทศไหนนั้นจะบริหารประเทศ ให้ผ่านพ้นวิกฤตและฟื้นตัวได้ดีกว่ากัน

 

ซึ่งจากตัวเลขข้างต้นนั้นก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าประเทศไทยนั้น เป็นประเทศที่สามารถผ่านพ้นวิกฤตและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วก่อนประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ สังเกตได้จากไทยเป็นประเทศแรก ๆ ในโลกที่เปิดรับนักท่องเที่ยว ซึ่งตัวเลขนักท่องเที่ยวในปัจจุบันนั้นก็ถือว่าใกล้เคียงกับตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในช่วงก่อนจะเกิดโรคโควิด-19 แล้ว

 

นอกจากนี้ตัวเลขชี้วัดอื่น ๆ ก็ยังแสดงให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มดี ยกตัวอย่างเช่น ภาวะเงินเฟ้อของไทยนั้นอยู่ที่อันดับ 20 ของโลก จากทั้งหมด 134 ประเทศ อัตราว่างงานก็ลดต่ำลงเหลือ 1.3 % เท่านั้น รวมถึงตัวเลขการลงทุนจากต่างชาติก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เฉพาะแค่ 2 เดือนแรกของปี 66 มีผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ถึง 305% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

 

แต่ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศไทยนั้นกำลังเดินไปสู่ทิศทางที่ดี ก็มีนักการเมืองจากบางพรรคสร้างวาทะกรรมซ้ำซาก โจมตีเศรษฐกิจของประเทศตัวเองให้ดูตกต่ำย่ำแย่ กล่าวหาว่าเศรษฐกิจของไทยตกอยู่ในหุบเหว เศรษฐกิจของบ้านเรากำลังถดถอย ซึ่งการจะพูดถึงเศรษฐกิจให้ถูกต้อง โดยปราศจากอคตินั้น เห็นว่าควรจะต้องเอาตัวเลขออกมากาง ให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริง ไม่ใช่เอาแต่พูดวาทะกรรมอันสวยหรู แต่บิดเบือนข้อเท็จจริง

 

คำว่า เศรษฐกิจดีนั้น ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องร่ำรวยกันหมดทุกคน แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ดีนั้น ระบบเศรษฐกิจจะต้องมีการขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างสัมพันธ์กันทั้งระบบ ผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่ดี ผู้ประกอบการ ค้าขายก็มีกำไรที่ดี อัตราเงินเฟ้อต่ำลง อัตราการว่างงานก็ลดลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้จากตัวเลขที่ชี้วัด ตัวเลขต่าง ๆ นั้นสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ตัวเลขไม่โกหกใคร

 

จึงขอเรียกร้องให้นักการเมืองทุกฝ่ายออกมาพูดความจริงกับประชาชน มากกว่าการสร้างวาทะกรรมว่า ประเทศเราย่ำแย่และไม่มีความหวัง การหาเสียงนั้นควรจะแข่งกันนำเสนอนโยบายที่จะทำให้กับประชาชน โดยเป็นนโยบายที่ทำได้จริง การกระทำเช่นนี้จึงจะเป็นการเมืองที่สร้างสรรค์ และเกิดประโยชน์กับประชาชน นางสาวศศิกานต์ กล่าวทิ้งท้าย

ตำรวจเชียงใหม่สุดไฮเทค ใช้ระบบ AI ดูแลประชาชน - นักท่องเที่ยว เล่นสงกรานต์

วันนี้ 13 เม.ย. 2566 เมื่อเวลา 14.30 น. พ.ต.อ.อัมรินทร์ อัมพรมหา รอง ผบก.ทท.2 พ.ต.อ.จุลฤทธิ์ จุลกะ รอง ผบก.ทท.2 มาตรวจรถโมบาย ศปก.ส่วนหน้าจุดท่าแพ พบ พ.ต.ท.มกรา ศรีสกุลพิสุทธิ์ สว.ส.ทท.1 กก.2 บก.ทท.2 (เชียงใหม่) และเจ้าหน้าที่สายตรวจ ปล่อยแถว ศปก.ส.ทท.1 เพื่อดู และอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว ในช่วงเทศกาลสงกรานต์

 

ซึ่งในการปฎิบัติการในครั้งนี้ ได้ให้เจ้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ติดกล้อง body camera ในการปฏิบัติงาน และใช้รถโมบาย เป็น ศปก. ส่วนหน้าในการดูสถานการณ์และสั่งการ พร้อมทั้งให้เจ้าที่ตำรวจท่องเที่ยวทุกนาย ได้ควบคุม ดูแลคุณภาพของแหล่งท่องเที่ยว โดยตรวจสอบปริมาณนักท่องเที่ยวไม่ให้หนาแน่นเกินไป ใช้กล้องเทศบาล ที่ได้ทำ mou ระหว่าง บช.ทท. และ มช. โดยคำนวนด้วยระบบ AI

 

นอกจากนั้น ให้เจ้าที่ตำรวจ ได้ตรวจสอบข้อมูลการนับจากระบบ AI โดยข้อมูลเวลา 14.30 น. บริเวณประตูท่าแพ และโดยรอบด้านใน มีประชากรผ่านจำนวน 5,170 คน และบริเวณลานประตูท่าแพ มีประชากรผ่าน 1,177 คน ส่วนบริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ มีประชากรผ่าน 577 คน

 

โดยนักท่องเที่ยวมาเล่นน้ำบริเวณข้างถนนโดยรอบประตูท่าแพ ส่วนในลานประตูท่าแพ มีน้อยเพราะจัดงานและวางเก้าอี้ไว้ทำให้คนไม่สามารถเข้าได้ ส่วนอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ไม่มีคนไปเล่นสงกรานต์ตามที่คาดไว้

 

ทั้งนี้ทางเจ้าที่ตำรวจท่องเที่ยว 2 จะดูแลพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยว พี่มาเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ในห่วงเทศกาลสงกรานต์นี้

"ฟิล์ม รัฐภูมิ" ออกมาตอบโต้ "เศรษฐา ทวีสิน"

จากการที่นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวพาดพิงถึงนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาท หรือบัตรลุงป้อม ของพรรคพลังประชารัฐ ที่นายเศรษฐา กล่าวว่าใช้เงินงบประมาณมากถึง 8 แสนล้านบาทนั้น

 

นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์มผู้สมัคร ส.ส. เบอร์ 1 เขต 22 สวนหลวง ประเวศ ของพรรคพลังประชารัฐก็ได้ออกมาตอบโต้โดยระบุว่า ไม่น่าเชื่อว่าคนระดับนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยนั้นจะออกมาให้ข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้อย่างสิ้นเชิง

 

โดยประการแรกบัตรประชารัฐนั้น จะเป็นสวัสดิการที่ดูแลคนไทยผู้เข้าหลักเกณฑ์ประมาณจำนวน 14 ล้านคน ไม่ใช่ 20 ล้านคน โดยตัวเลข 20 ล้านคนนั้นคือตัวเลขของผู้ที่ลงทะเบียนทั้งหมด แต่หลังจากที่หน่วยงานราชการได้ทำการคัดกรองแล้วพบว่ามีผู้ที่ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นเพียงประมาณ 14 ล้านคนเท่านั้น

 

จากการวางหลักเกณฑ์ที่รัดกุม ยกตัวอย่างเช่นจะไม่ได้ดูเฉพาะตัวผู้ที่มาลงทะเบียนเท่านั้น แต่จะต้องดูรายได้รวมของคนในครอบครัวด้วย และผู้ที่จะมีสิทธิ์ได้รับการช่วยเหลือนั้นก็จะต้อง เป็นผู้ที่อยู่ใต้เส้นความยากจน หรือก็คือจะต้องมีรายได้ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อปี แตกต่างกับทางพรรคเพื่อไทยที่แจกทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ไม่วาจะมีรายได้น้อยหรือคนรวยก็ได้หมด

 

ซึ่งทางพรรคพลังประชารัฐก็ได้คำนวณมาแล้ว การดูแลในส่วนนี้ จะใช้งบประมาณอยู่ที่ 9,800 ล้านบาทต่อเดือน หรือไม่ถึง 2 แสนล้านบาทต่อปี และเป็นการใช้เงินแบบทยอยใช้ มิใช่จ่ายหมดในครั้งเดียวจึงไม่มีปัญหาในเรื่องของการตั้งงบประมาณ โดยงบประมาที่ใช้นั้นก็จะนำมาจาก กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม

 

บัตรสวัสดิการของพรรคพลังประชารัฐนั้น แตกต่างจากการแจกเงินของพรรคเพื่อไทย ที่เราเน้นการช่วยเหลือแบบพุ่งเป้า ไปยังกลุ่มเปราะบาง กลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย เพราะพรรคพลังประชารัฐตระหนักดี ถึงการใช้เงิน ที่จะต้องใช้จ่ายให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์มากที่สุด เพราะเงินที่ใช้นั้นเป็นเงินภาษีของพี่น้องประชาชน ไม่ใช่แจกเงินแบบหว่าน แจกเงินให้แม้กระทั่งคนที่มีรายได้ดีอยู่แล้ว

 

สิ่งที่คุณเศรษฐา ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ควรจะต้องเร่งทำในตอนนี้ก็คือ ต้องอธิบายตอบข้อสงสัยของประชาชนให้ได้ก่อนว่า ในการแจกเงินของพรรคเพื่อไทยนั้น จะเอาเงินมาจากไหน มากกว่าการมาคอยจับผิดนโยบายของพรรคอื่น นายรัฐภูมิกล่าวทิ้งท้าย

ปตท. ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการรณรงค์ความปลอดภัยรถ NGV

วันที่ 10 เมษายน 2566 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม อาคาร 10 ชั้น 3 กรมการขนส่งทางบก นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และ นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยผู้บริหารจากกรมขนส่งทางบกและ ปตท. ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการรณรงค์ความปลอดภัยรถ NGV

 

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบกมุ่งมั่นในการรณรงค์และเสริมสร้างทัศนคติการตระหนักถึงความปลอดภัย รวมถึงยกระดับมาตรฐานในการตรวจสอบการใช้งานรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง (NGV) เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ ตามนโยบายของ รัฐบาล กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบกได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ในโครงการรณรงค์ความปลอดภัยรถ NGV กับ ปตท. เพื่อบูรณาการร่วมกันในการเชื่อมโยงข้อมูลการตรวจและทดสอบรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง (NGV) ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์และกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และข้อมูลที่อยู่ในความควบคุมดูแลของกรมการขนส่งทางบก โดยการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อใช้ในการตรวจสอบรถ NGV ที่เข้ามารับบริการเติมก๊าซ NGV ในสถานีบริการ NGV ของ ปตท. ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับมาตรฐานการตรวจสอบความปลอดภัยของผู้ใช้รถก๊าซ NGV

 

นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ ปตท. กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ ปตท. จะได้นำเอาองค์ความรู้ ศักยภาพ และประสบการณ์ด้านก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) มาร่วมสนับสนุนในโครงการรณรงค์ความปลอดภัยรถ NGV เพื่อเสริมสร้างทัศนคติการตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้งานรถ NGV และลดการเกิดอุบัติเหตุให้แก่ผู้ใช้รถ NGV และประชาชนทั่วประเทศ โดย ปตท. นำข้อมูลการตรวจและทดสอบรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง (NGV) และข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในความควบคุมดูแลของกรมการขนส่งทางบกนำมาตรวจสอบรถ NGV ที่เข้าเติมก๊าซธรรมชาติอัดในสถานีบริการ NGV ของ ปตท. ทั่วประเทศให้เกิดความปลอดภัยในการเติมก๊าซฯ รวมถึงนำส่งข้อมูลรถ NGV ที่มีสภาพไม่ปลอดภัยให้กับกรมการบนส่งทางบกเพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลต่อ พร้อมทั้งการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของรถ NGV ที่ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก เช่น การออกตรวจรถ NGV ร่วมกัน นำมาพิจารณาให้รางวัลผู้ตรวจสภาพรถ NGV ที่ปฏิบัติงานดีเยี่ยมประจำปีต่อไป

 

“โครงการรณรงค์ความปลอดภัยรถ NGV” เป็นความร่วมมือระหว่างกรมการขนส่งทางบกกับ ปตท. เพื่อเสริมสร้างทัศนคติของผู้ขับขี่ให้ตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้งานรถ NGV ลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน และเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ

 

ทั้งนี้ ภายหลังจากการลงนามฯ กรมการขนส่งทางบก และ ปตท. ได้จัดกิจกรรม “Safety Campaign” เป็นโครงการให้บริการตรวจเช็กอุปกรณ์และส่วนควบรถ NGV โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตลอดปี 2566 รวมถึงการออกรณรงค์ความปลอดภัยทั่วประเทศตามแผนงาน ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมที่ออกตรวจตามสถานีบริการ NGV ร่วมกันระหว่าง ปตท. และ ขบ. และ แต่ละไตรมาสจะมีการออก PR ประชาสัมพันธ์ตาม Theme เช่น ไตรมาส 1 ออก PR ใน Theme “ไม่มี ไม่เติม Sticker นั้นสำคัญ” ในสถานีบริการ NGV จำนวน 244 แห่งทั่วประเทศ

รายการใหม่จาก THE STATES TIMES X TV Direct

THE STATES TIMES ผนึก TV Direct แกะกล่องรายการใหม่ 'ถลกข่าว ถลกคน’ ถกทุกมิติเลือกตั้ง 66 แบบเฉพาะกิจช่วงก่อนปิดหีบ ชูคอนเซปต์ ชัดเจน!! เป็นกลาง!! เปิดปรากฎการณ์สังคมไทยยุคใหม่ที่คนไทย ‘ทุกคน-ทุกฟาก-ทุกฝั่ง’ ร่วม 'ถก' กันได้ ประเดิม EP แรกกับอดีต 2 ขั้วสุดต่าง ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ และ ‘สุริยะใส กตะศิลา’ ดีเดย์ 15 เม.ย.นี้

 

12 เมษายน 2566 สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ร่วมกับ TV Direct ช่อง 76 (จานดาวเทียม PSI) เปิดตัวรายการ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ รายการถกข่าวสุดร้อนแรงในช่วงกระแสการเมือง/การเลือกตั้ง 2566 กำลังระอุ โดยได้สื่อมวลชนอาวุโสสุดเก๋าแห่งวงการ ‘คุณสำราญ รอดเพชร’ มาเป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมกับ EP แรก ที่ได้ 2 ผู้คร่ำหวอดทางการเมือง อดีตขั้วการเมืองที่ต่างกันสุดขีด แต่วันนี้ ทั้งคู่สามารถมานั่งถกกันได้ในฐานะ ‘คนไทย’ ที่จะมาช่วยเคลียร์หลากมิติการเมือง และการเลือกตั้ง 66 แบบอินไซด์ ภายใต้เหตุและผลสุดสร้างสรรค์

 

เริ่มจาก คุณจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน และอดีตแม่ทัพหลักของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แง้มประเด็นเล็ก ๆ แต่ก็ชวนให้ตามติดแบบทันควัน ไม่ว่าจะเป็น “จุดยืนพรรคเพื่อไทยกับพลังประชารัฐ ทักษิณกับบิ๊กป้อม” หรือแม้แต่ "ลุงป้อม ผู้ส่งท่าทีก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่วันนี้ก็อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น ส่วน 'ลุงตู่' ที่บอกเพลียงพล้ำ ตอนนี้อาจพลิกจากแพ้เป็นผู้กำชัย เพราะจุดยืนชัดเจน และการลงมาสู่สนามการเมืองของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ อาจทำให้เกมเพื่อไทยเปลี่ยน" เป็นต้น

 

ส่วนแขกรับเชิญอีกท่านอย่าง ศ.ดร. สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ก็แง้มปมถกที่ดุเดือดไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น “ทิศทางการเลือกตั้งหนนี้ ที่เชื่อว่าจะใช้เงินจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดทุจริตที่มากในอนาคต หรือแม้แต่หลายพรรคต่างเร่งออกนโยบายประชานิยม ซึ่งเป็นนโยบายที่น่ากลัว เพราะจะมีผลกระทบโยงไปยังเงินคงคลัง และงบประมาณของประเทศ” ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหัวข้อถกเถียงเรียกน้ำย่อย ที่รอคอยคอการเมืองมาร่วมตามติด แบบไม่ควรพลาด!!

 

ด้าน นายณัฐภูมิ รัฐชยากร Chief Operating Officer THE STATES TIMES กล่าวถึงความร่วมมือผลิตรายการ ‘ถลกข่าว’ กับทาง TV Direct ในครั้งนี้ ว่า จุดเริ่มต้นในการทำรายการ มาจากข้อสงสัยในประเด็นทางการเมืองมากมายที่สังคมและประชาชนทั่วไปต้องการคำตอบ แต่ยังหามุมมองวิเคราะห์และกลั่นกรองอย่างมีชั้นเชิงให้กับสังคมได้ไม่มาก ขณะเดียวกันนักการเมืองจากพรรคต่าง ๆ มีทั้งที่คุ้นตาและไม่คุ้นชิน โดยเฉพาะนักการเมืองหน้าใหม่ ย่อมต้องการพื้นที่แสดงออกทางความคิด หรือ นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน นี่จึงเป็นที่มาที่ทำให้ ‘ถลกข่าว’ ต้องเกิดขึ้นมาในช่วงจังหวะนี้

 

สำหรับแผนการผลิต ‘ถลกข่าว’ ในเบื้องต้นนั้น นายณัฐภูมิ กล่าวว่า จะนำเสนอทั้งหมดจำนวน 30 EP ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 2566 และถ้าหากรายการได้รับการตอบรับดี หรือ มีแนวโน้มที่จะเป็นอีกกระบอกเสียงให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมวงกว้างได้ ทั้งสองบริษัทฯ ก็จะพิจารณาขยายการผลิต และออกอากาศผ่านช่องทางในเครือทั้งสองต่อไป

 

สนใจรับชม ‘ถลกข่าว’ แบบสด ๆ พร้อมกันทั่วประเทศ วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.00 - 19.00 น. กับ 'ถลกข่าว ถลกปัญหา' โดย หยก สถาพร บุญนาจเสวี ที่จะหยิบปัญหาความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนมาถกแบบรอบทิศ และ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 18.00 - 19.00 น. กับ 'ถลกข่าว ถลกคน' โดย สำราญ รอดเพชร ที่จะพาทุกคนไปร่วมถกทุกมิติการเมืองและการเลือกตั้ง 2566 แบบสุดเคลียร์

 

อย่าพลาด!! 15 เมษายนนี้ ประเดิม 'ถก' ทุกข้อข้องใจทางการเมืองและวิเคราะห์เลือกตั้ง 66 แบบสุดเคลียร์ กับ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ EP แรก ผ่านทุกช่องทางออนไลน์ในเครือ THE STATES TIMES และ TV Direct ช่อง 76 (จานดาวเทียม PSI)

เสธ.หิ ลั่น ไม่มีอำนาจ สั่งการกำลังพล

จากกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ และประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า บ้านใหญ่เจ๊ ล. ขาใหญ่อำเภอปง พะเยา ซึ่งเป็นพี่สาว ผู้สมัคร ส.ส. พะเยา เขต 3 ของพรรคหนึ่ง ที่ตอนนี้ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลกร่าง ผู้นำท้องถิ่น ท้องที่ เล่าให้ฟังว่า

 

พอไปถึงบ้านเจ๊ ล. ก็มีกองกำลังทหารเกือบ 1 หมวด พกอาวุธ (ปืนสั้น) ภายใต้การควบคุมของเสธ น. (ลูกน้องเสธ นอกราชการคนดัง) และข่มขู่ว่าจะจัดการกับผู้นำขั้นเด็ดขาดหากไม่ช่วยผู้สมัครรายนี้ จะเริ่มปฏิบัติการโดยใช้กองกำลังทหารค้นบ้านผู้นำทุกรายที่เห็นต่าง

 

ทั้งนี้ การออกมาโพสต์ข้อความดังกล่าว ประจวบเหมาะกับ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) รับผิดชอบการเลือกตั้งภาคเหนือของพรรค ได้เดินทางไปร่วมโชว์วิสัยทัศน์ ในรายการ BIG DEBATE เวทีจังหวัดพะเยา ซึ่งจัดโดยสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 66 ที่ผ่านมา พอดี

 

เป็นไปได้ว่า เสธ.นอกราชการคนดัง ที่ ร.อ.ธรรมนัส ระบุถึง ก็คือ ดร.หิมาลัย นั่นเอง

 

ล่าสุด ดร.หิมาลัย ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนเองเพิ่งมีโอกาสเดินทางไปจังหวัดพะเยาครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ที่ผ่านมา เพื่อร่วมเวทีดีเบต ซึ่งทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เป็นผู้จัด เมื่อเดินทางถึงจังหวัดพะเยา ก็ได้ไปพูดคุยกับคุณไพโรจน์ ตันบรรจง ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค เพื่อต้องการรับทราบประเด็นปัญหาของจังหวัดพะเยา สำหรับใช้เป็นข้อมูลในการดีเบต จากนั้น จึงเดินทางไปยังเวทีดีเบต และอยู่ในพื้นที่นั้นตลอดเวลาโดยไม่ได้เดินทางออกนอกพื้นที่เลย

 

และภายหลังจากเสร็จงานดีเบต ซึ่งจบราวเที่ยงคืน จากนั้นก็ได้เดินทางไปส่งทีมงานของคุณโพโรจน์ ที่มาช่วยให้ข้อมูลจังหวัดพะเยา สำหรับใช้บนเวทีดีเบต และพูดคุยกันอีกซักพัก จึงได้เดินทางกลับไปพักผ่อนที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งกำหนดการลงพื้นที่จังหวัดพะเยาเป็นไปตามนี้ โดยไม่มีการไปทำกิจกรรมอื่นใดในพื้นที่จังหวัดพะเยาเลย

 

“อย่างที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ผมไม่ได้รับราชการทหารมานานแล้ว จึงไม่มีอำนาจไปสั่งการกำลังพลในหน่วยใดทั้งสิ้น และที่สำคัญทางผู้บัญชาการทหารทุกเหล่าทัพ ได้สั่งการห้ามกำลังพลยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเด็ดขาด จึงไม่น่าจะมีใครกล้าฝ่าฝืนคำสั่ง เนื่องจากอาจจะถูกดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญา แต่หากพบว่ามีทหารใช้อิทธิพลและมีหลักฐานชัดเจน ผมสนับสนุนให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพื่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์และยุติธรรม”

"นพวรรณ" ซัด "อนุสรณ์" เหตุกล่าวหา พปชร. บิดเบือน

จากกรณีที่ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่าได้ปราศรัยโจมตีการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เป็นการบิดเบือน ใส่ร้าย เพราะนโยบายที่พรรคเพื่อไทย นำเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สนับสนุนการเกณฑ์ทหาร เป็นระบบสมัครใจนั้น

 

ล่าสุด น.ส.นพวรรณ หัวใจมั่น ผู้สมัคร ส.ส. เขต 12 กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การที่ทางพรรคพลังประชารัฐ ได้หยิบยกประเด็นการยกเลิกการเกณฑ์ทหารขึ้นมาปราศรัย ความจริงเเล้ว การพูดถึงนโยบายนี้ของนายชัยวุฒิ ไม่ได้วิจารณ์เจาะจงเฉพาะพรรคเพื่อไทย เเต่พูดในภาพรวมเพื่อเเสดงจุดยืนว่าพรรคพลังประชารัฐไม่สนับสนุนการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เเต่อยากให้คงไว้เพื่อการฝึกความรักชาติ เเละความเสียสละให้กับคนรุ่นใหม่

 

และที่สำคัญ หากนาย อนุสรณ์ จะออกมาตอบโต้ ประเด็นนี้ อยากให้นายอนุสรณ์ ย้อนกลับไปดูการขึ้นเวทีดีเบตของคนพรรคเพื่อไทยเอง ที่เคยระบุว่า พรรคเพื่อไทยอาจจะยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ซึ่งได้ปรากฏข้อความดังกล่าวผ่านสื่อต่าง ๆ ที่ได้นำเสนอข่าวออกไปแล้ว แบบนี้ จะบอกว่าทางพรรคพลังประชารัฐ ตั้งใจบิดเบือนข้อเท็จจริงได้อย่างไร? ก็ในเมื่อคนของพรรคเพื่อไทยเป็นคนพูดเอง จึงไม่เรียกว่าเป็นการใส่ร้ายและโจมตีกัน

 

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า การที่พรรคเพื่อไทยนําเสนอเรื่องการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร อาจจะต้องการเอาใจวัยรุ่น เพื่อแข่งกับพรรคก้าวไกล จะเห็นได้จากในหลาย ๆ ดีเบตหรือเวทีปราศรัย และตามหน้าสื่อต่าง ๆ ทางพรรคเพื่อไทยก็ได้เสนอนโยบายนี้ ดังนั้น ขอยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐ พูดบนพื้นฐานข้อเท็จจริงที่ปรากฏ จึงไม่ใช่การบิดเบือนใส่ร้ายกันทางการเมืองแต่อย่างใด

 

แต่ในทางกลับกัน ทางพรรคเพื่อไทยต่างหาก ที่โจมตีพรรคพลังประชารัฐว่า เป็นพรรคทหาร รวมทั้งโจมตี ‘พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ’ หัวหน้าพรรค ว่าเป็นเผด็จการ ได้อำนาจมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งทางพรรคพลังประชารัฐ ไม่เคยออกมาตอบโต้ในสิ่งที่พรรคเพื่อไทยนำไปโจมตีเลย แต่วันนี้ เราเพียงอยากจะใช้สิทธิ์พูดในสิ่งที่เห็นสมควร และขอยืนยันว่า ข้อมูลที่นำมาปราศรัยนั้นเป็นข้อมูลที่ถูกต้องไร้การบิดเบือน

 

ส่วนกรณีที่นายอนุสรณ์ บอกว่า นายชัยวุฒิ พาดพิงการเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของ พท. ซึ่งระบุว่า นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นตัวจริง ส่วนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นเพียงตัวหลอก เพื่อเรียกคะแนนนั้นนิยมนั้น ต่อกรณีดังกล่าว น.ส.นพวรรณ ยืนยันว่า การที่นายชัยวุฒิ กล่าวถึงแคนดิเดตนายกฯ พท. ตัวจริง หรือ ตัวหลอกนั้น ไม่ใช่เป็นการกล่าวพาดพิงเรื่องภายในพรรคอื่น แต่เป็นการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ จากบทบาทของแต่ละคน ที่ได้แสดงให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง หากมองในแง่คุณสมบัติของทั้ง 2 คน ยิ่งเห็นชัดว่า นางสาวแพทองธาร ยังขาดประสบการณ์ทั้งในด้านการเมืองและการบริหาร

 

ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของคนที่อาสาเข้ามาเป็น “ผู้นำประเทศ” แน่นอนว่า คนในพรรคเพื่อไทย และนายทักษิณ ชินวัตร ย่อมมองเห็นจุดอ่อนตรงนี้ เพราะอย่าลืมว่า คนที่ห่วงใยและสนใจปัญหาบ้านเมือง ย่อมเลือกผู้นำที่มีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ โดยไม่สนใจว่า “คุณจะลูกหรือญาติ ใครอีกต่อไป” สุดท้ายจึงมีชื่อนายเศรษฐา มาประกบเป็นแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งคนส่วนใหญ่เชื่อว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ “ตัวจริง”

 

ส่วนที่นายอนุสรณ์ บอกว่า การปราศรัยดังกล่าว เป็นการนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนนั้น น.ส.นพวรรณ ย้ำว่า ทั้งหมดที่กล่าวไปนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานการวิเคราะห์ทางการเมือง ไม่ใช่เป็นการบิดเบือนใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะอย่างที่ทราบกันมาตลอดว่า “พรรคเพื่อไทย” มักทำอะไรที่คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ชอบให้คนอื่นคาดเดาและตีความไปต่าง ๆ นา ๆ ไม่เหมือนกับพรรคการเมืองปกติอื่น ๆ ยกตัวอย่าง การเปิดตัวนางสาวแพทองธาร เข้าสู่การเมือง เริ่มต้นด้วยการเข้ามาเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ไม่มีตำแหน่งทางการบริหารพรรค แต่กลับมีบทบาทและมีคนเกรงใจ เหนือกว่า หมอชลน่าน ศรีแก้ว ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคเสียอีก จนมีคนกังขาว่า ใครเป็นหัวหน้าพรรคตัวจริงกันแน่

 

“ในฐานะที่เราเป็นนักการเมือง และอยู่ระหว่างการเลือกตั้ง การวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่ง จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่พรรคการเมืองทั่วไปกระทำกัน และขอยืนยันว่า ไม่ใช่เป็นการหาเสียงใส่ร้าย หรือบิดเบือนใด ๆ ทั้งสิ้น” น.ส.นพวรรณ กล่าว

คึกคัก!! เชียงรายต้อนรับ นทท.จีน เที่ยวสงกรานต์ปี 66

วันที่ 10 เมษายน 2566 เวลา 13.30 น. นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสาวประกายพฤกษ์ พานิช เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ร่วมต้อนรับคณะนักท่องเที่ยวคาราวานจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งหมด 12 คณะ มีจำนวนนักท่องเที่ยว รวม 452 คน รถยนต์ จำนวน 141 คัน

 

โดยได้รับเกียรติจากนายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในการต้อนรับคณะฯ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาคเอกชน และสื่อมวลชน ร่วมให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ณ ด่านพรมแดนเชียงของ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

 

จังหวัดเชียงราย โดย ภูมิภาคเอเชียตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ททท. สำนักงานคุนหมิง ททท. สำนักงานเชียงราย จัดกิจกรรมต้อนรับคาราวานขับรถท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีน “Thailand ,We are Coming” เนื่องในโอกาสเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยและร่วมงานประเพณีสงกรานต์ของไทย ซึ่งเป็นคณะคาราวานขับรถยนต์ท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยในช่วงเดือนเมษายน ผ่านด่านพรมแดนเชียงของ ตั้งแต่วันที่ 1-28 เมษายน 2566 จำนวน 21 คณะ มีนักท่องเที่ยว รวม 678 คน รถยนต์ จำนวน 243 คัน

 

โดยคณะคาราวานฯ เป็นกลุ่มคาราวานรถยนต์ กลุ่มทำงาน กลุ่มครอบครัว ภายใต้โครงการ China is Back เพื่อฟื้นฟูและส่งเสริมให้เกิดการเดินทางนักท่องเที่ยวกลุ่ม Revisit ของภูมิภาคเอเชียตะวันออก ททท. และ ททท.สำนักงานคุนหมิง เดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยในจังหวัดต่าง ๆ อาทิ เชียงราย เชียงใหม่ สุโขทัย กรุงเทพฯ ชลบุรี (พัทยา) เลย ขอนแก่น อุดรธานี เป็นต้น และร่วมงานประเพณีสงกรานต์ในจังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 12 เมษายน 2566

 

โดยร่วมกับพันธมิตรบริษัทนำเที่ยวกลุ่มจัดคาราวานรถยนต์ของจีน จัดนำคณะคาราวานรถยนต์เดินทางมาประเทศไทย โดยใช้เส้นทาง R3A จากเมืองคุนหมิง ผ่านด่านบ่อหาน (จีน) - บ่อเต็น (ลาว) - ด่านห้วยทราย (ลาว) - ด่านพรมแดนเชียงของ (สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4) โดยนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาในครั้งนี้ มาจากหลายเมือง เช่น มณฑลยูนนาน ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว กว่างตุ้ง เจียงซู กวางสี หางโจว อานฮุย เป็นต้น

 

ที่มา สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย

บจก.พลังงานมหานครรับโล่ประกาศเกียรติคุณ

ดร.เพ็ชร ชินบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจก.พลังงานมหานคร บริษัทในกลุ่ม บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ รับมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่องค์กรที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมของสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

 

โดยมี นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในงานพิธีมอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติ "คนดีเก่ง คนกล้า สปน." ณ ห้องประชุม 108 อรรถไกวัลวที ชั้น 1 อาคารสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อเร็ว ๆ นี้

"พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" เปิดใจให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน

ไม่บ่อยครั้งนัก "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค จะเปิดใจให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ตอบคำถามอย่างชัดเจนจุดยืนทางการเมือง ความคาดหวัง และแนวโน้มทิศทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง14 พ.ค. 66 อย่างตรงไปตรงมาหลายเรื่องระหว่างการให้สัมภาษณ์พิเศษสื่อเครือเนชั่น

 

จุดแข็งของพรรคพลังประชารัฐ?

จุดแข็ง คือ พวกที่อยู่ในพรรคมีความรู้ ความสามารถ โดยคณะกรรมการ เป็นคนคัดเลือก และ สรรหาเข้ามาทุกคนมีความรู้ ความสามารถ ในการที่จะบริหารประเทศชาติ แต่ละคนก็มีโปรไฟล์ดีเป็นบุคคลากรที่มีคุณภาพ ทีมเศรษฐกิจทั้ง 5 คน มีที่ยืนด้วยกันทั้งนั้น เพราะต่างคนก็ต่างมีที่มา ยกตัวอย่างนโยบายประชารัฐ ก็เป็นของพรรคพลังประชารัฐที่ทำมาตั้งแต่ต้น นายอุตตม สาวนายน เป็นคนทำ

 

ถ้าได้นั่งนายกรัฐมนตรี สิ่งแรกที่ทำ?

หากได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี จะทำทันที ทุกเรื่องที่ทำให้ประชาชน อยู่ดีกินดีขึ้น ได้รับการแก้ไขปัญหา ที่ประชาชนเดือดร้อนทำทุกเรื่อง

 

ประชุมวันละกี่รอบ?

ประชุมทั้งวัน วันละหลายเรื่อง แต่ยอมรับว่าการเมืองจะหนักหน่อย เพราะมี 400 เขต เขตทับกันก็ต้องตัดสิน เขตทับกันทุกเขต ไม่มีใครยอมใคร ไปถามนักการเมืองมีใครยอมใครไหม

 

ทำไมตัดสินใจลง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1?

ผมไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลย เพราะลูกพรรคให้ผมลง ผมทำตามมติพรรค เพราะพรรคมีคณะกรรมการสรรหา มติพรรคให้ลงก็ลง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ มติพรรคออกมาแบบนี้ก้ต้องทำตามมติ

 

มั่นใจไหมว่าจะได้กี่ที่นั่ง?

มั่นใจหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาชน ผมว่าไม่น้อยกว่า 70 ที่นั่ง

 

อะไรที่ทำให้มั่นใจ?

แต่ละคนที่มาสมัครมีคุณภาพ ดังนั้น ส.ส. ไม่น้อยกว่า 70 ที่นั่ง จาก ส.ส.แบบแบ่งเขต หรือ รวมแล้วอาจจะเกิน100 โดยประเมินจากการทำโพล หลายช่องทาง มั่นใจได้ยกจังหวัด ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ กำแพงเพชร พะเยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสระแก้ว ส่วนกาญจนบุรี คะแนนไว้ที่ 3-5 คน

 

ภาพพลังประชารัฐกับภูมิใจไทย ลงตัวกันแล้วไปไหนไปกัน?

ลงตัวอย่างไรละต้องไปถามอนุทิน (นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย)

 

พลังประชารัฐกับรวมไทยสร้างชาติ จะจับมือกันไหม?

มีเงื่อนไขเดียว ว่าใครได้ ส.ส. มากกว่าก็เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

 

การเลือกตั้งปี 62 กับปี 66 แตกต่างกว่ากัน?

การเลือกตั้งปี 66 ยากกว่า ปี 62 เพราะแต่ละพรรคขนาดใหญ่ สู้กันเยอะ

 

เบอร์เกี่ยว?

เรื่องหมายเลขผู้สมัคร ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และ บัญชีรายชื่อ หากชาวบ้านต้องการรู้จริง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหา พรรคไม่ได้สนใจว่า พรรคการเมืองไหนจะมีกระแสอย่างไร แต่เสียงของรัฐบาล ต้องไม่ต่ำกว่า 251 เสียง ไม่มีรัฐบาลเสียงข้างน้อย

 

วิตกกังวลกระแสเพื่อไทยกับก้าวไกล หรือไม่ อีสาน กับ เหนือ กระแสดี?

ผมทำพรรคของผมเป็นหลัก ผมจะไปดูพรรคอื่นทำไม พรรคทุกพรรคดูพรรคตัวเองเป็นหลัก คือ ห้ามต่ำกว่า 70 เสียง คนอื่นได้เท่าไหร่ก็เรื่องของเค้า

 

จับมือเพื่อไทยได้?

คนละประเด็น อยากให้คนไทยรักกัน สามัคคีกัน นำพาประเทศไปด้วยกัน มีความคิดช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่วนทางการเมืองเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ใครจะคิดอย่างไรว่าไป เป็นเรื่องของสภา

 

สามป.ในทางการเมืองไม่มีแล้ว?

3 ป. (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ,พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา) หลังเลือกตั้งในทางการเมืองไม่มีแล้ว

 

สุขภาพจะส่งผลต่อสมรภูมิการเมืองลงพื้นที่ไหวหรือไม่?

ส่วนคำถามที่ว่าไหวไหมต้องถามกลับคนถามว่าไหวหรือเปล่า เพราะส่วนตัวเดินมาปีกว่าแล้ว ตรวจราชการครบทั้ง 77 จังหวัด บางจังหวัดไป 2-3 รอบก็มี ผมไม่เห็นมีอะไรมีแต่ขาเท่านั้น

 

ตอนไปจับเบอร์มั่นใจอะไร?

ได้เบอร์ 37 มาสองครั้ง ครั้งแรกจับให้เบอร์ 37 ผมไปจับก็ได้เบอร์ 37 เบอร์สามเจ็ดเป็นเลขที่ดีนะ เพราะเลข 3 บวก 7 รวมกันแล้วได้ 10 เลขสิบเป็นเลขดีทั้งหมด

 

ทำไมไม่อยากขึ้นดีเบต?

ผมไม่ได้เป็นนักโต้วาที ผมว่าไม่ได้ประโยชน์ ไม่เก่งเรื่องนี้

 

ทำไมการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเลือกพลังประชารัฐทำไมต้องเลือกเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี?

ประชาชนชอบพรรคไหนก็เลือกไป ผมอาสารับใช้ประชาชน ประชาชนเห็นว่าผมสมควรเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็เลือกผม ถ้าเห็นว่าผมไม่เหมาะสมก็ไม่ต้องเลือกผม

 

ขอขอบคุณข้อมูล

https://www.posttoday.com/thailand-election-2023/692930


TRENDING
© Copyright 2022, All rights reserved. North Time Thailand
Take Me Top